ผู้เขียน | เสถียร จันทิมาธร |
---|
ชัยชนะของหานซิ่นไม่ว่าจะมาด้วย “ส่งเสียงบูรพา ฝ่าตีประจิม” ไม่ว่าจะมาด้วย “ลอบตีเฉินซาง” เป็นความดีความชอบอย่างแน่นอน
กระนั้น ความแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวระหว่างฮั่นอ๋องกับหานซิ่นก็ยังไม่ราบรื่น
มองอย่างเปรียบเทียบ ความสัมพันธ์ระหว่างฮั่นอ๋องกับเซียวเหอ ความสัมพันธ์ระหว่างฮั่นอ๋องกับจางเหลียง สวยสด งดงาม
เมื่อคนหนึ่งเอ่ย อีกคนพยักหน้า
นี่ย่อมต่างไปจากความสัมพันธ์ระหว่างฮั่นอ๋องกับหานซิ่น อาจเพราะต่างฝ่ายต่างอยู่ในเส้นทางเดียวกัน
นั่นก็คือ เส้นทางแห่ง “นักรบ”
กระนั้น เมื่อศึกษาอย่างหยั่งลึกลงไปแล้วก็จะมองเห็นรอยต่ออันเป็น “ช่องว่าง” อย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้มีความเปราะบางเกิดขึ้น ดำรงอยู่
เป็นรอยต่อตั้งแต่แรกที่หานซิ่นเข้ามาเป็น “แม่ทัพ”
อาจประเมินและสรุปได้ว่า เป็นช่องว่างอันเบียดขบในความเห็นต่างต่อสถานการณ์เป็น “แม่ทัพ” ระหว่างฮั่นอ๋องกับหานซิ่นซึ่งดำรงอยู่ยาวนาน
จะเห็นได้จากเมื่อทัพฌ้อปาอ๋องถอย
สิ่งแรกที่ฮั่นอ๋องทำคือเรียกจางเหลียง ตันแผงมาพลางถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “ที่ทัพฌ้อถอยไปโดยเร็วนั้นท่านเห็นว่าเป็นเพราะเหตุใด”
คำตอบจางเหลียงคือ
เป็นเพราะรู้ข่าวอ๋องหลินตีเผิงเฉิง เผิงอวด ตีได้เมืองวาอึง กับการที่หยินโป้จะยกมาช่วยไต้อ๋องทัพฌ้อจึงรีบถอย
เห็นควรเราจะทิ้งเมืองเซงโกไปหาหานซิ่น
ข้อเสนอของจางเหลียงตรงกับใจของฮั่นอ๋องถอนออกจากเมืองเซงโกไปตั้งอยู่นอกเมืองเตียวในตอนพลบค่ำ
เช้าวันรุ่งขึ้นก็รุดไปยังค่ายของหานซิ่นพร้อมทหาร 15 คน
ยุทธนิยายไซ่ฮั่นสำนวนแปล “วังหลัง” บรรยายภาพออกมาว่า ฝ่ายหานซิ่นกับจางยี่วันนั้นเสพสุรานอนหลับยังไม่ตื่น
พระเจ้าฮั่นอ๋องก็เข้าไปเที่ยวดูในค่ายจนรอบ
แล้วเดินเข้าไปถึงที่อยู่หานซิ่นเห็นโต๊ะตั้งอยู่ข้างศีรษะเอาแพรเหลืองคลุมไว้จึงให้ทหารเปิดดู
ปรากฏเป็นหีบตราสำหรับแม่ทัพ
จึงเปิดแล้วหยิบตราไว้ หานซิ่นครั้นตื่นเห็นพระเจ้าฮั่นอ๋องเสด็จมาก็ตกใจลงจากที่นอนคุกเข่าแล้วว่า
“ไต้อ๋องเสด็จมาข้าพเจ้ามิได้ออกไปรับนอกค่าย โทษสมควรตาย”
“เราเที่ยวดูค่ายจนเข้ามาถึงนี่ท่านก็ยังไม่ตื่น ทั้งทหารก็พากันหลับสิ้น ถ้ามีข้าศึกเข้ามาก็จัดตัดศีรษะท่านเสียโดยง่าย”
นั่นเสมอดั่ง “ปฏิสันถาร” เบื้องต้น
แต่ที่หนักหนาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าย่อมเป็น “เรามายืนอยู่ให้ทหารเปิดโต๊ะเห็นหีบตราเราหยิบตรามาไว้ได้ ท่านเป็นแม่ทัพเพิ่งตีได้เมืองเตียว
ทำการประมาทเช่นนี้ถ้าชาวเมืองคิดกลับใจทำอันตรายจะมิเสียราชการหรือ”
ยุทธนิยายไซ่ฮั่นสำนวน “วังหลัง” บรรยายเน้นๆ ว่า ฝ่ายหานซิ่นได้ยินพระเจ้าฮั่นอ๋องตรัสถามมาดังนั้น
“มีความละอายดังหน้าจะพัง”
เมื่อจางยี่เข้ามาคำนับพระเจ้าฮั่นอ๋องอีกคนหนึ่งสำทับจากพระเจ้าฮั่นอ๋องยิ่งลงลึกในรายละเอียด
“จางยี่ก็เป็นนายทหารรองหานซิ่น
ไม่ช่วยกันจัดแจงตรวจตราค่ายคูให้มั่นคง ทำละเลยอยู่เช่นนี้ถ้าข้าศึกล่วงรู้เข้าจะเป็นอันตรายขึ้นตัวจะพ้นความผิดหรือ”
เด่นชัดว่า ทั้งหานซิ่น ทั้งจางยี่ บกพร่อง
พระเจ้าฮั่นอ๋องยึดกุมหลักการมั่นแน่ว “ถ้าจะว่าตามอาชญาศึก หานซิ่นต้องถอดออกจากแม่ทัพ ตัวท่านก็โทษถึงตายเราคิดว่าตัวท่านมีความชอบอยู่
ถ้าจะทำการไปภายหน้าเช่นนี้อีกเราจะเอาโทษตามอาชญาศึก”
พระเจ้าฮั่นอ๋องไม่คืนตรา “แม่ทัพ” ให้กับหานซิ่นขึ้นมา กลับไปยังค่ายหลวง หานซิ่น จางยี่เดินตามมา
พระเจ้าฮั่นอ๋องจึงให้ขุนนาง นายทหารเข้ามาพร้อมกัน
ตรัสเล่าเรื่องที่ไปเยือนค่ายพบเห็นสภาพหานซิ่น จางยี่ ระบุว่าหานซิ่นมีความผิดควรจะถอดจากแม่ทัพ
สภาพการณ์เช่นนี้ยากยิ่งจะตำหนิพระเจ้าฮั่นอ๋อง
สภาพการณ์อาจแตกต่างไปจากรายละเอียดเมื่อหานซิ่นอยู่โปตง เนื่องจากเป็นสภาพการณ์ในแนวหน้า
บทบาทที่เคยเป็นของเซียวเหอ จึงเป็นของจางเหลียง
จางเหลียงทูลขึ้นว่า “ครั้นแผ่นดินเลียดก๊ก เมืองโอยมีทหารคนหนึ่งชื่อโกเปียนเป็นแม่ทัพ ทำข่มเหงราษฎรเอาไก่มากิน 2 ตัว
เจ้าเมืองโอยรู้ความจึงถอดจากแม่ทัพ
จูสิ้นทูลเจ้าเมืองโอยว่า “คำโบราณว่า ท่านจะใช้คนเหมือนเอาไม้มาทำการใหญ่ เลือกเอาที่ยาว เห็นสั้นแล้วทิ้งเสีย บัดนี้ยังไม่วายการศึกจะเอาข้อผิดที่ลูกไก่ 2 ตัวมาลบล้างความชอบที่โกเปียนซึ่งชนะศึกมาถอดเสียจากแม่ทัพหาควรไม่”
เจ้าเมืองโอยได้ฟัง จึงใช้ให้เอาไก่ไปใช้ราษฎรเสีย แล้วตั้งโกเปียนเป็นแม่ทัพดังเก่า
ครั้งนี้หานซิ่นทำความชั่วแค่ครั้งหนึ่งขอไต้อ๋องคิดถึงความดีซึ่งหานซิ่นเคยทำไว้”
ไม่ว่ามองผ่านบทบาทของเซียวเหอที่เมืองโปตง ไม่ว่ามองผ่านบทบาทของจางเหลียงที่เมืองเตียว
ล้วนเป็น “บทเรียน” ล้วนเป็นการหนุนเสริม “หานซิ่น”
ลักษณะ “ร่วม” ของทั้งเซียวเหอและจางเหลียงก็คือ เอาบทเรียนจากอดีตมาเป็นเครื่องสังวร
นี่ย่อมเป็นท่วงทำนองในแบบ “กุนซือ” นักวาง“กลยุทธ์”
ไม่ว่าจะเป็นยุคแห่งการต่อสู้ของเล่าปัง ไม่ว่าจะเป็นยุคแห่งการต่อสู้ของเล่าปี่ ณ เบื้องหน้าจางเหลียง ณ เบื้องหน้าจูกัดเหลียง
คือเรื่องราวแห่ง “อดีต” จดจารไว้เป็น “ประวัติศาสตร์”
สะท้อนให้เห็นว่า นักวางกลยุทธ ดำรงตนในฐานะฝ่ายบุ๋นแวดล้อมอ๋องหากไม่ศึกษาประวัติศาสตร์ก็ยากจะมีบทเรียน
ไม่ว่าเซียวเหอ ไม่ว่าจางเหลียง
จากนี้จึงเห็นได้ว่าสายสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าฮั่นอ๋องกับหานซิ่นมีช่องว่างอันเป็นรอยโหว่ดำรงอยู่อย่างลึกซึ้ง
เป็นความลึกซึ้งที่หานซิ่นมิได้ตระหนัก
เป็นความลึกซึ้งที่พระเจ้าฮั่นอ๋องดำรงอยู่ในฐานะเป็น “นาย” ขณะที่หานซิ่นดำรงอยู่ในฐานะเป็น “บริวาร”
“ปัญหา” ที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นเครื่องกล่อมเกลา
เพียงแต่ในสถานการณ์แห่งการกล่อมเกลา เคี่ยวกรำ หานซิ่นมิได้ตัวเปล่าเล่าเปลือย หากแต่มีคนมองเห็นรูปสุวรรณอยู่ชั้นใน
ไม่ว่าจะเป็นเซียวเหอ ไม่ว่าจะเป็นจางเหลียง
สถานการณ์เมืองเตียวอาจเป็นความผิดพลาด ขาดความระมัดระวังของหานซิ่นอย่างชัดเจน มิอาจอภิปรายถกเถียงได้
แต่นั่นก็เป็นเพียง “รูปธรรม” หนึ่งในความสัมพันธ์
รูปธรรมแห่งความสัมพันธ์กับ “นาย” กับ “บริวาร” ดำรงอยู่เหมือนหินกับไข่เมื่อใดนั่นหมายถึงอันตราย
ไข่ตกบนหิน ไข่แตก หินตกบนไข่ ไข่แตก