ผู้เขียน | เสถียร จันทิมาธร |
---|
พยัคฆ์ซ่อน มังกรซุ่ม : รุกรบ จู่โจม เหนือ การคาดคิด ลวง ใน จริง
การมองผ่าน “36 กลยุทธ์สู่ชัยชนะ ภาคปฏิบัติ” ของหานซิ่น อาจมองเห็นยุทธการลอบตีเฉินซางของหานซิ่น
ดำเนินไปตามยุทธวิธี “รบอย่างวกวน”
และเมื่อลงลึกเข้าไปในรายละเอียดก็จะสัมผัสกับละครโบราณเรื่อง “แม่ทัพหานซิ่นลอบตีเฉินซาง”
อันวาดพรรณนาผ่าน “เนื้อร้อง” ที่ว่า
“ให้ขุนพลฝานไคว่ซ่อมทางขอนไม้หน้าผาอย่างเปิดเผย เราจะข้ามไปยังเฉินซางทางโบราณลับๆ
ทหารฌ้อไม่รู้ว่าเป็นอุบาย
คงจะนำทหารไปตั้งคอยรับมืออยู่ที่ทางขอนไม้หน้าผา เราจะวกไปทางเฉินซางตีให้พ่ายไปโดยไม่ทันให้ระวังตัว”
ทุกอย่างเป็นไปตามสำนวนแปล บุญศักดิ์ แสงระวี
แต่เมื่อมีหนังสือ “พิชัยยุทธ์ซุนวู ฉบับหัวซาน” สำนวนแปลและเรียบเรียงโดย ชาญ ธนประกอบ อยู่ในมือ
พลิกไปยังหน้า 69
ก็จะเข้าใจลึกยิ่งขึ้นในรากฐานแห่งกลยุทธ์อันมาจากอนุสาสน์แห่งซุนวู “ใกล้ให้แสดงไกล ไกลให้แสดงใกล้”
ในการตีความของ “หัวซาน” อธิบายออกมาได้ว่า
ที่เรียกว่า “กลยุทธ์หลอกล่อ” หัวใจสำคัญ คือ “การลวงให้ไม่ทันระวัง” ทำให้อีกฝ่ายไม่ทันระวัง
พร้อมทั้งยืนยันด้วยความมั่นใจเป็นอย่างสูง
“เพราะถ้าอีกฝ่ายระวังตัวเราก็จะไม่มีโอกาสชนะ ถ้าเขาไม่ทันระวังแล้วเราทุ่มกำลังโถมเข้าใส่เขาก็เจ๊งแล้ว”
กรณีตัวอย่างที่โด่งดังที่สุดคงเป็นกรณีหานซิ่นลอยโอ่งไม้ข้ามแม่น้ำ
แคว้นฌ้อกับแคว้นฮั่นรบกัน สถานการณ์ของเล่าปังไม่สู้ดี เว่ยอ๋องเป้าคิดจะเปลี่ยนข้างจึงอ้างว่ามารดาไม่สบาย
ขอลาเล่าปังเพื่อกลับบ้านไปเยี่ยมแม่
จากนั้นก็ไปเข้ากับเซี่ยงอวี่ หรือฌ้อปาอ๋อง เล่าปังส่งแม่ทัพหานซิ่นไปตามล่า และแล้ว 2 ทัพก็เผชิญหน้ากัน
โดยมีแม่น้ำขวางกั้น
หานซิ่นทุ่มสุดตัวหาเรือได้เพียงร้อยกว่าลำ เรียงหน้ากระดานที่ริมฝั่ง ทำทีจะข้ามแม่น้ำทุกวัน
เว่ยอ๋องเป้าก็เตรียมรับศึกตลอดเวลา
มองลักษณะที่ประจันหน้าเด่นชัดอย่างยิ่งว่าหานซิ่นหมายมั่นปั้นมือว่าจะจัดการเว่ยอ๋องเป้าตามบัญชาฮั่นอ๋อง
ทั้งที่ในความเป็นจริงมีมากกว่านั้น
“หัวซาน” ระบุว่า ในสถานการณ์ที่เว่ยอ๋องเป้าเตรียมรับศึกตลอดเวลานั้น หานซิ่นลอบสั่งคนใช้ขอนไม้ทำโอ่งน้ำเตรียมไว้
และนำทัพใหญ่ไปที่เฉินซาง
ใช้โอ่งไม้ผูกกันเป็นแพข้ามลำน้ำที่เฉินซางลอบจู่โจมที่อำเภออาน ตีปีกขวาของเว่ยอ๋องเป้า
ในที่สุดก็จับตัวเว่ยอ๋องเป้าได้
พอเว่ยอ๋องเป้าได้ข่าวว่าหานซิ่นยกพลขึ้นบกที่เฉินซางก็ตกใจถามขึ้นว่า “เฉินซางไม่มีเรือนี่นามันหาเรือมาจากไหน”
นี่เป็นเพราะเขามองข้ามและไม่เคยนึกถึง
นั่นก็คือ มิได้นึกถึง “สิ่งตอบแทน” เพื่อแก้ปัญหา ในความเป็นจริง มิได้มีเรือมิได้เท่ากับไม่มีเครื่องมือในการข้ามแม่น้ำ
จากกรณี “ลอบตีเฉินซาง” ของหานซิ่น “หัวซาน” ก็ไอเดียกระฉูด
ปลายยุคชุนชิว หรือวสันตสารท แคว้นอู๋กับแคว้นเยว่รบกัน อู๋กับเยว่มีแม่น้ำคั่นกลาง แคว้นเยว่ส่งทหารไปห่างจากต้นน้ำและปลายน้ำ 5 ลี้
ลั่นกลองเข้าบุกยามราตรี
แคว้นอู่จำต้องแยกกำลังพลเป็น 2 จุด ในความเป็นจริงนี่เป็นละครกลางคืนของแคว้นเยว่
เพราะที่ส่งไปใช้กำลังพลน้อยนิด แต่นำกลองไปมากมาย
เป็นการปล่อยม่านควัน จนกระทั่งแคว้นอู่แยกทัพออกไป เมื่อถึงจังหวะอันเหมาะสมกำลังหลักของทัพเยว่ก็ข้ามลำน้ำซึ่งหน้าเลย
ตีใส่ทัพกลางของอู๋และได้รับชัยชนะ
นี่เป็นการแสร้งข่มขวัญ เป็นแผนส่งเสียงตะวันออกแต่ตีตะวันตก ทั้งสองฝ่ายต่างรู้ดี แต่การแสร้งข่มขวัญใช่ว่าจะเสแสร้งเสมอไป
ส่งเสียงตะวันออกก็ใช่ว่าต้องตีตะวันตกเสมอไป อาจตีตะวันตกจริงก็เป็นได้
เช่นเดียวกับการยิงจุดโทษของฟุตบอล ผู้รักษาประตูรู้ทั้งรู้ว่าแกต้องใช้ลูกเล่นหลอกฉันแน่
และลูกสับขาหลอกนั่นอาจกลายเป็นจริงก็ได้
ที่สับขาหลอกคือ เดี๋ยวหลอก เดี๋ยวจริง หลอกเช่นนี้แล้วใครล่ะที่ชนะ สำหรับคนยิงประตูแล้วต้องยิงได้แม่น
คมและแรง
ถ้าเตะพลาดเอง อีกฝ่ายจะพลาดอย่างไรก็ยิงไม่เข้า ส่วนผู้รักษาประตูหรือโกลนั้นปฏิกิริยาต้องฉับไว แล้วต้องมีโชคด้วย
ขณะเดียวกัน ไกลก็แกล้งทำท่าหลอกคนยิงได้เช่นกัน
แล้วปกติ กองหน้ากับโกลฝึกซ้อมกันอย่างไร ฝึกสับขาหลอกหรือ ย่อมไม่ใช่ 1 ฝึกความแข็งแกร่งของร่างกาย 2 ฝึกเทคนิค 3 ฝึกทีมเวิร์ก
เหล่านี้จึงจะเป็นแก่นแท้ของการต่อสู้
จากนั้นก็เป็นบทสรุปของ “หัวซาน” ตามสำนวนแปล ชาญ ธนประกอบ ระบุถึงความสามารถในการทำสงคราม
สะท้อนแบบฉบับของ “หานซิ่น”
ที่บันทึกในพงศาวดาร ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดคิดว่าการทำสงครามต้องทำกันเช่นนี้
โดยพื้นฐาน แม่ทัพเปรียบเสมือนนายกรัฐมนตรี ต้องใช้ฝีมือการบริหาร
ด้วยเหตุนี้เอง หานซิ่นจึงเคยบอกเล่าปังว่า ตัวเล่าปังเองมีความสามารถในการนำทัพ 10 หมื่น
ถ้ามากกว่านี้จะเล่นไม่เป็น
ส่วนหานซิ่นเองนำทัพยิ่งมากยิ่งดี ให้กำลังพลเขา 100 หมื่น เขายังคงบัญชาการได้อย่างสบายเหมือนบังคับแขนของตนเอง
นี่ต่างหากที่เป็นความสามารถแท้จริงของหานซิ่น
ทั้งหมดล้วนมีรากฐานทางความคิดมาจากบทว่าด้วย “ประเมินศึก” บนพื้นฐานแห่งแนวทาง
ด้านหนึ่ง อันสงครามนั้น เป็นเรื่องสำคัญของประเทศชาติ
เป็นแหล่งแห่งความเป็นความตาย เป็นเหตุแห่งการดำรงอยู่ ดับสูญ จักไม่พินิจพิเคราะห์มิได้
ด้านหนึ่ง อันสงครามนั้น คือ การใช่เล่ห์เพทุบาย
รบได้ให้แสดงรบไม่ได้ จะรุกให้แสดงไม่รุก ใกล้ให้แสดงไกล ไกลให้แสดงใกล้ ให้ล่อด้วยประโยชน์
ให้ชิงเมื่อระส่ำระสาย
ข้าศึกแน่นให้เตรียมรับ ข้าศึกแข็งให้หลีกเลี่ยง ข้าศึกโกรธง่ายให้ก่อกวน ข้าศึกยโสให้เหิมเกริม ข้าศึกสบายให้เหนื่อยล้า ข้าศึกกลมเกลียวให้แยกสลาย
ให้จู่โจมเมื่อไม่ระวัง ให้รุกรบเมื่อไม่คาดคิด