‘อนุสรณ์’ เห็นด้วยใช้งบประมาณแทนกู้ แจกดิจิทัลวอลเล็ต ช่วยดันจีดีพี แนะขึ้นค่าจ้างเพียงพอค่าดำรงชีพ

‘อนุสรณ์’ เห็นด้วยใช้งบประมาณแทนกู้ แจกดิจิทัลวอลเล็ต ลดเสี่ยงผิดกม. เชื่อกระตุ้นศก. ดันจีดีพี 68  แนะรบ.ปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพียงพอต่อการดำรงชีพ หนุนมท. จ้างพนักงานสูงอายุปฏิบัติงานในอปท.ลดปัญหาขาดแคลนแรงงาน ควรขยายไปส่วนราชการอื่นด้วย

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และอดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง กล่าวว่า นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตใช้เงินผ่านระบบงบประมาณดีกว่าออก พ.ร.บ.เงินกู้ ลดความเสี่ยงผิดกฏหมาย ลดความเสี่ยงทางการเมืองจากกลไกขององค์กรอิสระภายใต้รัฐธรรมนูญ 60 ขณะที่รัฐบาลอยู่ระหว่างจัดทำงบประมาณปี 2568 จึงสามารถขยายกรอบวงเงินงบประมาณเพิ่มขึ้นและทำขาดดุลงบประมาณเพิ่มเติมได้เพื่อสนับสนุนนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่ความจำเป็นในการแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจลดน้อยลง เพราะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้จะมีการฟื้นตัวชัดเจน การใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพเป็นเรื่องสำคัญพอๆ กับการไม่ก่อหนี้สาธารณะเกินความจำเป็น

หากเกิดผลกระทบภายนอกเชิงลบอันไม่คาดฝันเกิดขึ้นในอนาคต รัฐบาลจักได้มีพื้นที่ทางการคลังมากขึ้นในการรับมือความท้าทาย ขณะที่การใช้งบประมาณ หรือกองทุนในการพยุงราคาพลังงานไม่ให้สูงเพื่อช่วยเหลือประชาชนต้องกำหนดกรอบเวลาและเพดานของภาระทางการคลังให้ชัดเจนเพื่อสามารถบริหารจัดการงบประมาณและหนี้สาธารณะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต้องใช้การปรับโครงสร้างและมาตรการปฏิรูปเศรษฐกิจ มาตรการระยะสั้นทั้งหลายไม่สามารถแก้ปัญหาได้เพียงบรรเทาปัญหาเท่านั้น การเตรียมพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) ให้เพียงพอนั้นมีความจำเป็น เพราะสถานการณ์ในอนาคตไม่แน่นอน คาดแจกเงินไตรมาสสี่ปีนี้จะช่วยกระตุ้นภาคการบริโภคและการลงทุนขนาดเล็กขยายตัวสูงขึ้นปลายปีต่อเนื่องถึงต้นปีหน้า ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น และคาดว่ามีความเป็นไปได้ที่อัตราการขยายตัวของจีดีพีปี’68 จะสูงกว่าปี’67

รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวอีกว่า ล่าสุด ธุรกิจอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เริ่มส่งสัญญาณมีปัญหาชะลอตัวลงอย่างชัดเจน รัฐบาลจะมีการทบทวนปรับเปลี่ยนทั้งค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนองให้ครอบคลุมธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าเกิน 3 ล้านบาท เป็นเรื่องที่ดี ส่วนจะกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไรนั้น และรัฐจะสูญเสียรายได้จากค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนองไปเท่าไหร่ และรายได้จากอัตราการขยายของธุรกิจอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์อันเป็นผลจากมาตรการดังกล่าวมากน้อยแค่ไหนก็ต้องรอดูผลของมาตรการ

Advertisement

ประชากรในวัยทำงานของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องและในอัตราเร่งมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2560 ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์แล้ว โดยปี 2566 มีผู้สูงวัย 20% วัยแรงงาน 63% และวัยเด็กเพียง 16% ประชากรในวัยทำงานปัจจุบันอยู่ที่ 42.4 ล้านคน และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ขณะนี้บางกิจการ บางอุตสาหกรรมสามารถทำการผลิตต่อไปได้โดยอาศัยแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน บางอุตสาหกรรมปรับใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ ระบบหุ่นยนต์และเอไอมากขึ้น พึ่งพิงแรงงานมนุษย์ลดลงและผลิตภาพเพิ่มสูงขึ้น ประชากรวัยทำงานเป็นแหล่งรายได้ภาษีของภาครัฐเพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายสวัสดิการให้ผู้สูงอายุ

ประเทศไทยต้องใช้งบประมาณในการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี เฉลี่ยปีละ 7.6-7.7 แสนล้านบาท หรืออย่างต่ำ 4.5% ของจีดีพี โดยมีกองทุนชราภาพ กองทุนประกันสังคมเป็นผู้รับผิดชอบดูแลสวัสดิการผู้สูงอายุที่ใหญ่ที่สุด แม้นสวัสดิการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี แต่งบประมาณที่จัดสรรไปสู่รายจ่ายทางด้านสวัสดิการสังคมของไทยยังอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับจีดีพี คืออยู่ที่ไม่เกิน 5% ประเทศสแกนดิเนเวียจะอยู่ที่ 29-30% ขณะที่รายจ่ายสวัสดิการสังคมต่องบประมาณของไทยจะอยู่ที่ 20% กว่าๆ และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ภาวะดังกล่าวสะท้อนรายได้ภาษีต่อจีดีพีต่ำและยังขึ้นอยู่กับภาษีทางอ้อมและภาษีเงินได้เป็นหลัก จึงขอเสนอให้รัฐบาลจ่ายสมทบเพิ่มในส่วนกองทุนชราภาพของระบบประกันสังคม และอาจต้องพิจารณาให้ “นายจ้าง” และ “ลูกจ้าง” จ่ายสมทบเพิ่มเติม

ดร.อนุสรณ์กล่าวอีกว่า สนับสนุนมหาดไทยจ้างพนักงานสูงอายุปฏิบัติงานในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ลดปัญหาขาดแคลนแรงงานในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ทรงคุณวุฒิเฉพาะด้าน การดำเนินการดังกล่าวควรขยายไปส่วนราชการอื่นด้วย โดยการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวต้องยึดถือผลประโยชน์สาธารณะเป็นที่ตั้ง อย่างไรก็ตาม การกำหนดระยะเวลาการจ้างควรเป็นรายปีเพื่อความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนการจ้างงานและสอดคล้องกับการจัดทำงบประมาณในแต่ละปี จากงานวิจัยของธนาคารโลก เรื่อง “Aging and the Labour Market in Thailand พบว่า ภาวะประชากรสูงวัยส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดแรงงานไทยและการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม จำนวนประชากรวัยทำงานที่ลดลงของประเทศไทยส่งผลให้รายได้เฉลี่ยของบุคคลในประเทศเติบโตลดลง และหากไม่มีการปรับเปลี่ยน หรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร คาดการณ์ว่าจะส่งผลให้การเติบโตของ GDP ต่อหัวลดลงอีกร้อยละ 0.86 ในทศวรรษ 2020 ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานอย่างมาก

Advertisement

นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า หากอัตราการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานนั้นคงที่ตามอายุและเพศแล้ว โครงสร้างประชากรของประเทศไทยจะเปลี่ยนไปโดยคาดการณ์ว่าจะส่งผลให้อัตราการมีส่วนร่วมของแรงงานโดยรวมจะลดลงประมาณร้อยละ 5 ระหว่างปี 2563 ถึงปี 2603 และจำนวนแรงงานลดลงถึง 14.4 ล้านคน ทั้งนี้ จำนวนแรงงานที่ลดลงอาจส่งผลให้ประเทศอยู่ในภาวะขาดแคลนแรงงานซึ่งอาจขัดขวางโอกาสในการเติบโตของประเทศไทยได้ อย่างไรก็ตาม การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากขึ้นอาจช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงานได้บางส่วน ในขณะที่ผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ อาจทวีความรุนแรง เนื่องจากความต้องการแรงงานที่มีทักษะความชำนาญในด้านนี้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ การเปิดรับ “ผู้ลี้ภัย” จากเมียนมาให้สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายและมีการกำกับที่ดีย่อมช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงานได้ระดับหนึ่ง

ดร.อนุสรณ์กล่าวต่อว่า ไทยมีปัญหาการกระจุกตัวของการผลิตและการจ้างงานสูง เกิดความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ แต่ระบบประกันสังคมช่วยสร้างระบบสวัสดิการขนาดใหญ่ครอบคลุมแรงงานในระบบทั่วทั้งประเทศ การย้ายแหล่งการผลิตและการจ้างงานไปยังต่างจังหวัดตามภูมิภาคต่างๆ จะเกิดผลดีต่อพื้นที่ และเกิด “ตัวทวีคูณท้องถิ่น” (Local Multiplier) นอกจากนี้ยังลดปัญหาความแออัด ปัญหามลพิษทางอากาศและปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสลัมในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล และการแตกสลายของสถาบันครอบครัวในชนบทจากการที่พ่อแม่ลูกไม่ได้อยู่ด้วยกัน นอกจากนี้ การกำหนดค่าแรงขั้นต่ำให้สูงกว่าในบางพื้นที่และพื้นที่เหล่านี้ก็มีความจำเริญทางเศรษฐกิจอยู่แล้วจะยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำในการจ้างงานและเศรษฐกิจเชิงพื้นที่เพิ่มสูงขึ้นไปอีก ควรปรับค่าจ้างขั้นต่ำ (Minimum Wage) ให้เป็นค่าจ้างเพื่อเพียงพอต่อการดำรงชีพ (Living Wage) มากขึ้น

การปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทในบางพื้นที่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นเรื่องที่ดีแต่จะตอบโจทย์ให้กับผู้ประกอบการในเรื่องการขาดแคลนแรงงานมากกว่าตอบโจทย์การมีค่าจ้างที่เพียงพอต่อการดำรงชีพของแรงงานโดยทั่วไปและในพื้นที่อื่นๆ ที่ไม่ได้ถูกกำหนดให้มีการปรับค่าแรงขั้นต่ำในเดือนเมษายนศกนี้ สิ่งที่เราจะได้เห็นคือการเคลื่อนย้ายของแรงงานจากพื้นที่ใกล้เคียงไปทำงานในจังหวัดที่มีค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ส่วนผู้ประกอบการโรงแรมที่เพิ่งจะฟื้นตัวจากวิกฤตอุตสาหกรรมท่องเที่ยวปี พ.ศ.2563-2564 และยังต้องแบกรับภาระหนี้จำนวนมาก รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณประชุมสัมมนาต่างๆ กระจายไปทั่วประเทศ ก็จะสามารถช่วย “ผู้ประกอบการ” จากต้นทุนค่าจ้างที่เพิ่มสูงขึ้น

รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวต่อว่า ภาวะความไม่สมดุลในตลาดแรงงานยังคงดำรงอยู่ ปัญหาอาจเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต หากสังคมไม่สามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพและสอดรับกับการผลิต การทำงานภายใต้เศรษฐกิจดิจิทัลและการใช้สมองกลประดิษฐ์อัจฉริยะ เศรษฐกิจและภาคการผลิตบางส่วนที่ใช้แรงงานทักษะต่ำเข้มข้นต้องอาศัยแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่แรงงานฝีมือไทยทักษะปานกลางและสูงจำนวนไม่น้อยเคลื่อนย้ายไปทำงานในต่างประเทศที่มีค่าตอบแทนสูงกว่ามาก ลักษณะการเคลื่อนย้ายแบบนี้ คือแรงงานทักษะต่ำไหลเข้า แรงงานทักษะปานกลางและสูงจำนวนหนึ่งไหลออก สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาโครงสร้างธุรกิจอุตสาหกรรมและตลาดแรงงานของไทย รวมทั้งระบบค่าจ้างและบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่สามารถยกระดับขึ้นมาเป็นระบบเศรษฐกิจการผลิตที่ใช้แรงงานทักษะสูง และผลิตสินค้ามูลค่าสูงด้วยนวัตกรรมได้อย่างแท้จริง ยังติดกับดักโครงสร้างการผลิตและเศรษฐกิจแบบเดิม

ขณะเดียวกัน ในอีกประมาณ 17 ปีข้างหน้า ไทยจะเข้าสู่ “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด” คาดการณ์ว่าจะมีผู้สูงอายุถึง 30% ขณะที่วัยแรงงานลดลงเหลือ 55% และวัยเด็กเพียง 12% อัตราภาวะเจริญพันธุ์ของไทยที่ต่ำกว่าระดับทดแทนในปัจจุบันนั้น หากพิจารณาจากประสบการณ์ของประเทศที่มีอัตราเจริญพันธุ์ต่ำกว่าระดับทดแทนมาก่อนประเทศไทย พบว่ายังไม่มีประเทศใดสามารถทำให้อัตราภาวะเจริญพันธุ์เพิ่มสูงขึ้นได้ภายในระยะเวลา 10-20 ปี การเปิดรับ “แรงงานอพยพ” และ “การตั้งถิ่นฐานของชาวต่างชาติ” เพิ่มขึ้น อาจช่วยแก้ปัญหาได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image