เอสเอ็มอีกังวล ‘เป๋าดิจิทัล’ เงื่อนไขเยอะ แอตต้าชงสมุดปกขาวรบ.ฟื้นท่องเที่ยว

เอสเอ็มอีกังวล ‘เป๋าดิจิทัล’ เงื่อนไขเยอะ แอตต้าชงสมุดปกขาวรบ.ฟื้นท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน น.ส.ปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่มีต่อนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นการสำรวจครั้งที่ 2 หลังครั้งแรกสำรวจเมื่อเดือนตุลาคม 2566 เพื่อเจาะลึกความคิดเห็นของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีถึงความพร้อม ความสนใจเข้าร่วมโครงการ และแผนการใช้จ่ายเงินดิจิทัล ครั้งนี้ได้สอบถามผู้ประกอบการ 2,704 ราย ใน 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 19-30 เมษายน 2567

พบว่าสนใจเข้าร่วมโครงการร้อยละ 75.2 ลดลงจากครั้งก่อนมีมากถึงร้อยละ 82.9 สาเหตุกังวลเรื่องการใช้สิทธิและการเบิกจ่ายเงิน เงื่อนไขของโครงการให้ธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่สามารถเข้าร่วมได้ ทำให้ธุรกิจรายเล็กมีความกังวลต่อยอดผู้จะมาใช้บริการ และบางกลุ่มธุรกิจประเมินว่าธุรกิจของตนไม่เหมาะกับโครงการ รวมถึงขาดความพร้อมด้านอุปกรณ์ เครื่องมือหรือทักษะความรู้ในการใช้งานซุปเปอร์แอพพ์ ใช้ซื้อสินค้ามากกว่าลงทุน

น.ส.ปณิตา กล่าวว่า สำหรับแผนการใช้จ่ายเงินดิจิทัลพบว่า ผู้ประกอบการมีแผนการใช้จ่ายเงินปรับเปลี่ยนไปเมื่อเทียบจากผลสำรวจครั้งก่อน ร้อยละ 77 จะนำเงินไปใช้จ่ายในหมวดสินค้าในชีวิตประจำวัน และร้อยละ 22.7 มีแผนนำเงินไปลงทุนต่อยอดทางธุรกิจ ขณะที่ครั้งก่อนพบว่าจะนำเงินไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ร้อยละ 69.6 และร้อยละ 30.4 จะนำไปลงทุนในธุรกิจ ส่วนเงื่อนไขของโครงการที่กำหนดต้องใช้ในร้านค้าขนาดเล็กก่อน 2 รอบ ถึงเบิกเป็นเงินสดได้ ผลสำรวจพบว่าผู้ประกอบการร้อยละ 54.4 สนใจเข้าร่วมโครงการมีแผนการนำเงินดิจิทัลไปใช้จ่ายสินค้าในครัวเรือนมากที่สุดสำหรับการใช้จ่ายเงินรอบที่ 1 แต่สำหรับการใช้จ่ายครั้งที่ 2 ส่วนใหญ่ต้องการเบิกถอนเป็นเงินสดออกมา เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและนำเงินไปต่อยอดในการทำธุรกิจ

Advertisement

น.ส.ปณิตากล่าวว่า ผลสำรวจยังระบุว่าผู้ประกอบการยังมีความกังวลด้านระบบและขั้นตอนรองรับ รวมถึงเสถียรภาพการใช้งานในแอพพลิเคชั่นใหม่มากที่สุด รองลงมาเงื่อนไขและการใช้สิทธิ เนื่องจากกลุ่มธุรกิจรายเล็กและธุรกิจขนาดย่อมกังวลไม่มีร้านค้าในพื้นที่ รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ไปใช้จ่ายร้านสะดวกซื้อรายย่อย เช่น 7-11 และกลัวโดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง

“ด้านข้อเสนอแนะต้องการให้ปรับรูปแบบการเบิกจ่ายเป็นเงินสด เพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจของตนเอง เช่น ร้านอาหารต้องการหมุนเงินแบบวันต่อวัน เป็นต้น รองลงมาอยากให้ใช้สิทธิในแอพพ์เป๋าตังเหมือนเดิม เพราะกังวลการเรียนรู้การใช้งานซุปเปอร์แอพพ์ เสนอให้ลดเงื่อนไขจำกัดพื้นที่การใช้งาน ให้ใช้งานได้ทั่วประเทศ เพราะผู้ประกอบการต้องการความหลากหลายของสินค้าที่ให้บริการ จึงมีความต้องการซื้อสินค้า วัตถุดิบจากตลาด ร้านค้าภายในและนอกอำเภอ” น.ส.ปณิตากล่าว

ด้านนายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า ภาคการท่องเที่ยวไทยอยู่ในช่วงทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง ทางสมาพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย หรือ FETTA (เฟตต้า) เตรียมส่งมอบสมุดปกขาว (White Paper) ถึงรัฐบาลเร็วๆ นี้ หนึ่งในข้อเสนอคือ การพัฒนาซัพพลายการท่องเที่ยว ไม่ใช่แค่กระตุ้นฝั่งดีมานด์นักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว เพราะปัจจุบันเจอปัญหาใหญ่เรื่องการ กระจุกตัวของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเมืองหลักๆ มากขึ้น รวมถึงมีมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในภาพรวมออกมา จะเป็นโครงการ หรือมาตรการรูปแบบเดิมกับในอดีตก็ได้ อาทิ คนละครึ่ง อยากให้รัฐบาลเพื่อไทยพิจารณา อย่าเขินที่จะเอาโครงการลักษณะเหมือนคนละครึ่ง หรือเราเที่ยวด้วยกันของรัฐบาลชุดก่อนได้ผลมาแล้วมาช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวตลาดในประเทศ

Advertisement

นายศิษฎิวัชร กล่าวว่า หากต้องการไปถึงเป้าหมาย เท่ากับว่าช่วง 7 เดือนที่เหลือปีนี้ (มิถุนายน-ธันวาคม) ต้องดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยให้ได้อีก 5 ล้านคน หรือเฉลี่ย 6-7 แสนคนต่อเดือน ช่วงช่วงไฮซีซั่น 3 เดือนสุดท้าย จะรับบทหนักที่สุด เพราะต้องเบ่งยอดมากกว่าปกติหลายเท่า เพื่อไปให้ถึงจำนวนดังกล่าว แอตต้ามีแผนเดินทางไปโรดโชว์ในต่างประเทศ เพื่อดึงนักท่องเที่ยว ใน 8 เดือนที่เหลือ อยากให้รัฐบาล อาทิ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ททท. สนับสนุนงบประมาณเพื่อช่วยเหลือเอกชนท่องเที่ยว โรดโชว์กระตุ้นท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศ รัฐบาลควรเป็นผู้นำในด้านงบประมาณและแผนงาน เพราะโรดโชว์แต่ละครั้งใช้งบอยู่ประมาณ 15-20 ล้านบาท เนื่องจากเดินทางไปหลายเมืองในครั้งเดียว ส่วนเอกชนจะเสริมความร่วมมือ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นระหว่างรัฐและเอกชนมากขึ้น

นายศิษฎิวัชร กล่าวว่า ตลาดเป้าหมายที่แอตต้าตั้งใจจะเดินทางไปทำตลาดเพิ่มเติม ได้แก่ จีน อินเดีย มาเลเซีย เกาหลี เป็นตลาดระยะใกล้ๆ เพราะตัดสินใจเดินทางได้รวดเร็วกว่าตลาดระยะไกล ตลาดจีนมีแผนโรดโชว์ใน 3 เมือง เป็นเมืองที่มีศักยภาพ ได้แก่ ฉางซา หูหนาน เจิ้งโจ ถือเป็นเมืองหลักของเมืองรองหรือเมืองรองขยับมาเป็นเมืองเอกของจีน วางแผนเริ่มโรดโชว์ช่วงไตรมาส 3/2567 (กรกฎาคม-กันยายน) เพื่อให้ทันช่วงฤดูท่องเที่ยวหรือไฮซีซั่นในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีพอดี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image