ภูมิธรรม เผยฉลอง Pride Month ดันศก. เพิ่มเม็ดเงินเข้าประเทศ รบ.พร้อมสนับสนุนสมรสเท่าเทียม

ภูมิธรรม เผยฉลอง Pride Month ดันเศรษฐกิจ เพิ่มเม็ดเงินเข้าประเทศ รัฐบาลพร้อมสนับสนุนสมรสเท่าเทียม

เมื่อเวลา 8.30 น. วันที่ 15 มิถุนายน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยการนำของท่านนายกรัฐมนตรี ประกาศสนับสนุนทุกความหลากหลาย ได้ผนึกกำลังภาครัฐและภาคเอกชนฉลองเทศกาล Pride Month เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ LGBTQIAN+ ตลอดช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า โอกาสในการขยายธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ SME และสร้างมูลค่าเพิ่มทางการค้าโดยการใช้ซอฟต์พาวเวอร์ด้วย

ซึ่งล่าสุด ได้รับรายงานจากนายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ถึงการวิเคราะห์การจัดงาน Pride Month ที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวและการค้า และการบรรลุเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางทางการท่องเที่ยวของภูมิภาค (Tourism Hub) ภายใต้นโยบาย IGNITE TOURISM THAILAND ของรัฐบาล ที่มุ่งกระจายการท่องเที่ยวสู่ 55 จังหวัด “เมืองน่าเที่ยว” ที่มีศักยภาพเสริมแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจผ่านการเป็นศูนย์กลางการจัดงาน Event ระดับโลก ซึ่งการจัดงานเทศกาล Pride Month จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรของผู้บริโภคกลุ่ม LGBTQIAN+ (Pride Friendly Destination) ทั้งไทยและต่างชาติที่มีแนวโน้มจำนวนเพิ่มมากขึ้นและเป็นกลุ่มผู้บริโภคกำลังซื้อสูง

ข้อมูลของบริษัทวิจัยตลาด Ipsos ซึ่งทำการสำรวจประชาชน จำนวน 22,514 คน จาก 30 ประเทศในทวีปอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2566 ระบุว่า ร้อยละ 9 ของประชากรโลกที่บรรลุนิติภาวะระบุตนเองว่าเป็นกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ และประชากรไทย ร้อยละ 9 ก็ระบุตนเองว่าเป็นกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศเช่นกัน อย่างไรก็ดี แม้จำนวนประชากรผู้มีความหลากหลายทางเพศในปัจจุบันอาจมีสัดส่วนไม่มากนัก แต่คาดการณ์ว่าประชากรที่อยู่ใน Gen Z (เกิดหลังปี 2540) มีแนวโน้มระบุตนเองเป็นผู้มีหลากหลายทางเพศมากกว่าประชากรกลุ่ม Millennial, Gen X และ Baby Boomer จึงเห็นได้ว่ากลุ่ม LGBTQIAN+ นี้ถือเป็นตลาดผู้บริโภคสำคัญที่สามารถมีส่วนส่งเสริมเศรษฐกิจของไทยได้ นอกจากนี้ ผลสำรวจของ LGBT Capital บริษัทที่ปรึกษาด้านการเงินยังพบว่า ในปี 2566 กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศทั่วโลกมีกำลังซื้อสูงถึง 4.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในไทยมีกำลังซื้อ 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

Advertisement

นอกจากนี้การจัดงานยังมีส่วนช่วยสร้างรายได้ให้กับธุรกิจเกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจการจัดอีเวนท์ ธุรกิจบริการด้านอาหาร ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ผ่านการจัดกิจกรรมภายในงานเฉลิมฉลอง อาทิ การจัดนิทรรศการแสดงสินค้า แฟชั่นโชว์การจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มภายในงานรวมทั้งธุรกิจโรงแรมและธุรกิจบริการขนส่ง ที่ให้บริการรองรับผู้เข้าร่วมงานก็ยังได้ประโยชน์ร่วมด้วย และช่วยให้เกิดการกระจายรายได้ไปสู่ชุมชนท้องถิ่น โดยไทยเริ่มจัดงานเฉลิมฉลอง Pride Month เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2542

และปัจจุบันมีการจัดงานอย่างแพร่หลายในจังหวัดต่างๆ อาทิ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ชลบุรี ส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้ไปยังชุมชนในทุกภูมิภาค สร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวและการจำหน่ายสินค้าและบริการให้กับท้องถิ่น โดยในปี 2567 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงาน Pride Month มากกว่า 860,000 คน สามารถสร้าง เงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 4,500 ล้านบาท

Advertisement

และเพื่อสนับสนุนให้ไทยมีความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพ World Pride 2030 และได้ประโยชน์สูงสุดในเชิงเศรษฐกิจ ต้องเดินหน้าส่งเสริมความเท่าเทียมทางสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงให้เห็นถึงการยอมรับและปฏิบัติต่อบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างเสมอภาคและยั่งยืน ผ่านการสร้างระบบนิเวศที่พร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดงาน โดยเฉพาะการพัฒนายกระดับธุรกิจบริการของไทยให้ได้มาตรฐาน เพื่อสร้างความประทับใจและมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับนักท่องเที่ยว รวมทั้งการนำ Soft Power ของไทยมาใช้ดึงดูดและออกแบบการจัดงานของไทยให้โดดเด่น พร้อมกับการจำหน่ายสินค้าและบริการของไทย ตลอดจนส่งเสริมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความบันเทิงและนันทนาการ อาทิ ซีรีส์วายและซีรีส์ยูริของไทยที่ได้รับการยอมรับจากตลาดต่างประเทศ เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการแสดงถึงความเปิดกว้าง อีกทั้งเป็นกระบอกเสียงในการสร้างความรู้ความเข้าใจในประเด็นการส่งเสริมความเท่าเทียมของผู้มีความหลากหลายทางเพศที่สอดแทรกไปกับการผลักดันสินค้าและบริการชุมชนสู่ตลาดโลก และรัฐบาลเดินหน้า ผลักดัน พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมให้สำเร็จด้วย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image