ผู้เขียน | ปิยะวรรณ ผลเจริญ |
---|
เป็นเรื่องไม่เกินคาดหมายที่ม็อบจากสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย และสมาคมผู้ประกอบการขนส่ง 12 สมาคม พร้อมเครือข่ายภาคประชาชน ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่เดิม 30 บาทต่อลิตร ภายหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) วางกรอบตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน-31 กรกฎาคม 2567
เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงอยู่ในระดับสูง ผันผวน และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกำลังเผชิญปัญหาขาดสภาพคล่อง บัญชีติดลบมากกว่า 1 แสนล้านบาท
ซึ่งกองทุนน้ำมันฯเป็นเครื่องมือรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันในประเทศไม่ให้ผันผวนมากนักเมื่อเกิดวิกฤตราคาน้ำมันในตลาดโลก หากปล่อยให้กองทุนขาดสภาพคล่องรุนแรงกว่านี้จะทำให้กองทุนไม่สามารถพยุงราคาน้ำมันยามวิกฤตได้
กลับมาที่ข้อเรียกร้องของสหพันธ์การขนส่งฯ ต่อ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย 1.ตรึงราคาดีเซล 30 บาทต่อลิตร 2.ลดภาษีสรรพสามิต 3.นำน้ำมันปาล์มออกจากระบบ 4.แก้ปัญหาโครงสร้างพลังงาน
พิจารณาแต่ละข้อพบมีหลากหลายปัจจัยที่หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องขบคิดและตัดสินใจ
ตั้งแต่การตรึงราคาดีเซล 30 บาทต่อลิตร ซึ่งปัจจุบันต้นทุนระดับ 35-36 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯต้องรับภาระสูงมาก และเดือนพฤศจิกายนนี้ครบกำหนดทยอยจ่ายหนี้คืน ถ้าต้องอุ้มดีเซลสูง 5-6 บาท ก็ต้องขออนุมัติรัฐบาลกู้เงินเกินตัวอีกระลอก ความเชื่อมั่นกองทุนจะลดลง
คาดว่าการลดภาษีสรรพสามิต น่าจะเป็นกลไกที่เป็นไปได้มากที่สุด เพื่อพยุงราคาดีเซลควบคู่กับกองทุนน้ำมันฯ เช่นที่ผ่านมา แต่ต้องขึ้นกับรัฐบาลและกระทรวงการคลังจะพิจารณา
ด้านนำน้ำมันปาล์มออกจากระบบ คือ ไม่ผสมไบโอดีเซล (B100) ในน้ำมันดีเซล เป็นประเด็นที่อ่อนไหวสูง เพราะกระทบทั้งเกษตรกร และนโยบายสิ่งแวดล้อม
ขณะที่การแก้ปัญหาโครงสร้างพลังงาน กระทรวงพลังงานกำลังเดินหน้าเต็มสูบ น่าจะได้เห็นเป็นรูปเป็นร่างเร็วๆ นี้
ส่วนปล่อยราคาดีเซลตามกลไกตลาด ตามที่นักวิชาการหลายท่านเสนอ ก็เป็นเรื่องที่ภาครัฐต้องขบคิด เพราะลดภาระรัฐบาล แต่ประชาชนจะรับได้หรือไม่ อันนี้สำคัญที่สุด