คิดเห็นแชร์ : SET index ต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปี ‘วิกฤต’ หรือ ‘โอกาส’

คิดเห็นแชร์ : SET index ต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปี ‘วิกฤต’ หรือ ‘โอกาส’

บทความ “คิด เห็น แชร์” ฉบับนี้ผมจะเขียนถึงภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ที่ล่าสุดดัชนี SET index ปรับลดลงต่ำกว่า 1,300 จุด ขณะที่ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยในภาพรวมลดลงต่อเนื่อง แม้ว่า Valuation ตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่ค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับในอดีต โดยปัจจุบัน Valuation ของดัชนี SET index คำนวณด้วยวิธี Cyclical Adjusted PE (CAPE) ที่ใช้ค่าเฉลี่ย Real EPS (ปรับปรุงผลของเงินเฟ้อ) ของ SET index ย้อนหลัง 120 เดือน (10 ปี) เพื่อปรับผลของวัฏจักรเศรษฐกิจ พบว่าที่ระดับ SET index 1,300 จุด อัตราส่วน CAPE คิดเป็นเพียง 15.6 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่เฉลี่ย 20 เท่า และลดลงมาใกล้เคียงจุดต่ำสุดในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ราว 13.9 เท่า ขณะที่ตลาดหุ้นประเทศอื่นทั่วโลกปรับตัวขึ้น ขานรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการพ้นจุดสูงสุดของวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นแล้ว ปัจจัยหลักๆ ที่กดดันภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันมีหลายปัจจัยด้วยกัน ซึ่งคาดว่าหากปัจจัยต่างๆ คลี่คลายลง Valuation ของตลาดหุ้นไทยในขณะนี้อาจเป็นโอกาสการลงทุนของนักลงทุนได้เช่นกัน

ปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทย เริ่มต้นจากความกังวลต่อ EPS ของ SET index ที่แทบจะไม่มีการเติบโตในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งประเด็นนี้หลายท่านอาจจะมีมุมมองว่า เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนไทยไม่มีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ทำให้ EPS ของ SET index แทบไม่มีการเติบโตในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ในความเป็นจริงกำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนรวมทุกตัวมีการเติบโตขึ้นราว 30% ในช่วงปี 2556-2565 หรือเฉลี่ยปีละ 2.7% CAGR ซึ่งผมประเมินว่า ผลจากการเร่ง IPO หุ้นใหม่ๆ จำนวนมาก เข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ด้วย Valuation ที่สูง (PE สูง) ในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้ผลการคำนวณ EPS ของดัชนี SET index ถูกบิดเบือน เนื่องจากดัชนี SET index เป็นดัชนี จึงไม่ได้ใช้การคำนวณหา EPS แบบหุ้นตามปกติที่จะใช้กำไรสุทธิหารด้วยจำนวนหุ้น แต่เราจะใช้วิธีการนำมูลค่าตลาดรวม (Market capitalization) หารด้วยกำไรของบริษัทจดทะเบียนรวม เพื่อให้ได้อัตราส่วน PE แล้วจึงนำอัตราส่วน PE มาคิดย้อนกลับเทียบกับดัชนี SET index ให้ได้ค่า EPS ดังนั้น ในความเป็นจริงแล้ว ผมแนะนำให้พิจารณาการลงทุนโดยการวิเคราะห์หุ้นรายตัวที่มีผลการดำเนินงานเติบโตดี จะเป็นการวิเคราะห์การลงทุนที่เหมาะสมกว่าการมองภาพรวม EPS ของ SET index แล้วพิจารณาว่ากำไรของ SET index ไม่เติบโต เพียงมิติเดียว

ปัจจัยต่อมาที่ลดทอนความมั่นใจของนักลงทุนชาวไทย ได้แก่ ประเด็นเรื่องของระบบเทรดอัตโนมัติ (หรือที่เรียกกันว่า โรบอทเทรด) การ Short sell (หรือที่เรียกว่าธุรกิจ SBL ซึ่งนักลงทุนสามารถยืมหุ้นมาขายชอร์ตได้) และรวมไปถึงความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่อการป้องกันธุรกรรมที่ผิดกฏหมาย เรียกว่า Naked short ซึ่งเป็นการทำ Short Sell ที่ผู้ขายไม่ได้มีการยืมหุ้นมาไว้ก่อนในวันที่สั่งขายหุ้น สำหรับประเด็นนี้ ผมขอตั้งความหวังไว้กับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนอย่าง ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่เพิ่งได้ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ท่านใหม่ ว่าจะสามารถออกมาตรการต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้ โดยมาตรการที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้เร็วๆ นี้ (1 ก.ค.) ได้แก่ มาตรการ Uptick rule ที่คาดว่าจะลดแรงจูงใจของนักลงทุนที่ต้องการทำธุรกรรม Short sell และจะช่วยลดความผันผวนด้านขาลงของราคาหุ้น

Advertisement

ท้ายสุด เมื่อนักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจต่อทั้ง 2 ปัจจัยข้างต้น คือ ไม่มั่นใจต่อผลการดำเนินงาน (เมื่อมองจากภาพรวมของดัชนี) และไม่มั่นใจต่อมาตรการต่างๆ ต่อการลงทุน ทำให้ปัจจัยการเมืองที่ยังมีความไม่ชัดเจนกลับถูกหยิบยกมาเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้าช้อนซื้อหุ้นไทย แม้ว่า Valuation หุ้นหลายตัวจะถูกมากแล้วก็ตาม อย่างไรก็ดี ผมประเมินว่า สถานการณ์การเมืองในประเทศไทย จะเป็นปัจจัยระยะสั้นเท่านั้นและเมื่อมีความชัดเจนจากการตัดสินโดยศาลรัฐธรรมนูญในแต่ละประเด็น คาดว่าจะทำให้เกิดความชัดเจนต่อทิศทางนโยบายเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาล และทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งหากพิจารณาจากระยะเวลาของปัจจัยต่างๆ อาทิ มาตรการ Uptick rule และมาตรการต่างๆของทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 รวมทั้ง โอกาสในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของทางธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งจะหนุนให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นได้ และเมื่อพิจารณาจากมูลค่าการขายชอร์ตหุ้นที่ยังไม่ซื้อคืนทุกตัวรวมกันกว่า 1 แสนล้านบาท หากบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยดีขึ้น คาดเม็ดเงินดังกล่าวที่มีโอกาสซื้อคืนหุ้นไทยจะเป็นอีกปัจจัยหนุนให้เกิดการฟื้นตัวของดัชนี SET index

ดังนั้น โดยสรุปผมประเมินดัชนี SET index ที่ระดับ 1,300 จุด หรือต่ำกว่า ถือเป็นโอกาสในการลงทุนระยะยาวของนักลงทุน เหมือนกับการช้อนซื้อหุ้นเมื่อเกิดวิกฤตในแต่ละครั้ง จะสามารถสร้างอัตราผลตอบแทนที่สูงให้กับนักลงทุนได้มากกว่าการลงทุนในสถานการณ์ปกติ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image