ชาวบ้าน จี้กรมศิลปากรรื้อที่พักสงฆ์ปลูกคร่อมปราสาทหินพันปี ด้านพระสงฆ์ยอมถอย

ชาวบ้านห้วยแถลง จี้กรมศิลปากร รื้อที่พักสงฆ์ปลูกคล่อมปราสาทหินพันปี ด้านพระสงฆ์ยอมถอยหลังศาลปกครองสูงสุดพิพากษาคำสั่งของกรมศิลป์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว มึนมีคนโผล่อ้างเจ้าของที่ทั้งที่เป็นที่หวงห้ามเฉพาะโบราณสถาน

จากกรณีชาวบ้านในอำเภอห้วยแถลง จ.นครราชสีมา รวมตัวกันทวงคืนปราสาทหินโบราณอายุนับพันปีคืน หลังจากที่พักสงฆ์วัดโคกปราสาท เข้ามาใช้พื้นที่โบราณสถานสร้างอาคารปฏิบัติธรรมทับคร่อมลงไปกลาง “ปราสาทหินบ้านหลุ่งตะเคียน” ต่อมาชาวบ้านได้ร้องเรียนไปยังกรมศิลปากร ทำให้กรมศิลปากรมีคำสั่งลงวันที่ 29 กันยายน 2565 ให้รื้ออาคารศาลาปฏิบัติธรรม อีกฝ่ายฟ้องร้องไปยังศาลปกครองจังหวัดนครราชสีมา โดยศาลปกครองชั้นต้นได้มีคำสั่งคุ้มครองคำสั่งรื้อถอนไว้ กระทั่งล่าสุดศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยกคำร้องการขอคุ้มครองดังกล่าว เนื่องจากศาลปกครองสูงสุดมีดุลยพินิจว่าการที่มีสิ่งปลูกสร้างอาคารขนาดใหญ่ค่อมทับลงไปที่ตัวปราสาทหินซึ่งเป็นโบราณสถาน อาจส่งผลทำให้เกิดผลกระทบกับโครงสร้างของโบราณสถานได้ ซึ่งคำสั่งของกรมศิลปากรเป็นคำสั่งโดยชอบแล้ว

ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ตัวแทนชาวบ้าน บ้านหลุ่งตะเคียน ได้เดินทางเข้าพบกับฝ่ายกฎหมายของกรมศิลปากร เพื่อทวงถามความคืบหน้าของการรื้อถอนอาคารศาลาปฏิบัติธรรมที่ปลูกค่อมทับตัวปราสาทหินบ้านหลุ่งตะเคียนตามคำสั่งอธิบดีกรมศิลปากร พบว่า พระฉลวย อาภาธโร หัวหน้าที่พักสงฆ์โคกปราสาท ได้ส่งหนังสือยอมรับคำสั่งรื้อถอนอาคารศาลาการเปรียญที่พักสงฆ์โคกปราสาท(อาคารหมายเลข 44) ที่อยู่บริเวณด้านหน้าตัวปราสาทหินบ้านหลุ่งตะเคียนแล้ว โดยที่พักสงฆ์โคกปราสาทเห็นว่าคำสั่งอธิบดีกรมศิลปากรเป็นคำสั่งโดยชอบ จึงไม่มีเหตุผลคัดด้านในการรื้อถอน และยินดีที่จะให้ความร่วมมือในการรื้อถอน แต่เกรงว่าถ้ารื้อถอนด้วยตนเองโดยไม่มีการควบคุมดูแลจากเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญงานด้านนี้โดยตรง อาจก่อให้เกิดความเสียหายให้กับโบราณสถานได้ จึงอยากให้กรมศิลปากรส่งผู้เชี่ยวชาญด้านนี้เข้าตรวจสอบ และรื้อถอนตามขั้นตอนวิธีที่ถูกต้อง โดยที่พักสงฆ์โคกปราสาทยินดีเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและรื้อถอนทั้งหมด

Advertisement

แต่ทั้งนี้เนื่องจากนางสม ดอนสว่าง ได้อ้างสิทธิการครอบครองที่ดินตามเอกสาร สค.1 ในการครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าว มีการรังวัดขอออกโฉนดซึ่งขณะนี้อยู่ในการพิจารณาของศาลจังหวัดพิมาย ทำให้การเข้าดำเนินการพื้นที่อาจเข้าข่ายบุกรุกได้ จึงได้มีการประสาน สปก.นครราชสีมา ในการขอเข้ารังวัดพื้นที่ สปก. เนื่องด้วยที่ดินแปลงดังกล่าวมีการระบุว่าเป็นที่ดิน สปก.แปลงเลขที่ 7 กลุ่มที่ 1129 เนื้อที่ 110-0-05 ไร่ เป็นที่หวงห้ามเฉพาะโบราณสถาน ไม่สามารถจัดที่ดินให้แก่บุคคลใด ซึ่งถ้าหากการรังวัดออกมาว่ามีการก่อสร้างอาคารบุกรุกที่ สปก.จะได้ทำหนังสือขับไล่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าปฏิบัติงานได้โดยสะดวก

Advertisement

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image