กว่า 10 ปีของชีวิตคู่ เป้ย ปานวาด เผยทำดีที่สุดแล้ว ขอกลับมามีความสุขบ้าง

กว่า 10 ปีของชีวิตคู่ เป้ย ปานวาด เผยทำดีที่สุดแล้ว ขอกลับมามีความสุขบ้าง

นักแสดงสาว เป้ย ปานวาด เปิดใจแบบหมดเปลือกในรายการ WOODY FM ถึงเรื่องราวข่าวคราวกระแสที่เกิดขึ้น เผยระยะเวลาทำให้แข็งแกร่งขึ้น ที่ผ่านมา 10 กว่าปีทำดีที่สุดแล้ว ยอมรับและเรียนรู้ ตอนนี้ขอกลับมารักตัวเอง ตกผลึกชีวิตไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นย่อมมีเรื่องดีเสมอ

ความรู้สึกในเดือนที่ผ่านมาที่มีหลายเหตุการณ์ หลายกระแสเกิดขึ้น อยากถามว่ารับมือและอยู่กับมันยังไง?

“เป้ยอยากจะบอกจะบอกพี่วู้ดดี้ว่าจริงๆ เรื่องมันเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว และมันก็เกิดขึ้นมาสักพักใหญ่แล้ว ฉะนั้นวิธีการรับมือของเป้ยมันตั้งแต่วันแรกที่เป้ยประสบแล้ว เรียกว่าระยะเวลาก็มีส่วนในการช่วยทำให้แข็งแรงอย่างทุกวันนี้ เมื่อก่อนเราอาจจะไม่ได้คิดแบบนี้ แต่พอระยะเวลาเปลี่ยนไป คือมีอะไรบางอย่างที่มันสอนว่ามีสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้และควบคุมได้ ในสิ่งที่ควบคุมได้ก็คิดว่าจะทำให้ดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นในส่วนอะไรก็ตามแต่ ส่วนในเรื่องที่ควบคุมไม่ได้คิดว่าก็ต้องทำใจยอมรับกับมันแล้วก็เรียนรู้”

Advertisement

ถือว่าเป็นบทเรียนของชีวิต?

“เป็นบทเรียนของชีวิตโอบกอดตัวเองเยอะๆ บอกกับตัวเองว่าเราโคตรเจ๋ง ผ่านมาได้ถึงขนาดนี้ได้ไง ให้กำลังใจตัวเองแล้วเราก็คิดมาตลอดว่าที่ผ่านมา 10 กว่าปี เราทำดีทุกอย่างแล้ว ทำดีที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะในพาร์ทความเป็นแม่ของลูก ในพาร์ทความเป็นภรรยา ในความเป็นเพื่อนคู่คิด ทำดีที่สุดแล้วเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะทำได้ และอีกอย่างหนึ่งก็คือเป้ยเป็นคนที่เวลารักใคร เป้ยตั้งใจที่จะรัก  เต็มที่ทุกๆ ครั้ง อะไรที่ผู้หญิงคนนี้สามารถทำให้ได้ ก็ยินดีทำให้เสมอ ทั้งในบ้านเองหรือว่านอกบ้าน เลยรู้สึกว่า ณ วันนี้เป้ยไม่ได้รู้สึกว่ามันจะเป็นปัญหากับเราเลยถ้าจะต้องเดินออกมา แล้วก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกไม่เข้าใจตัวเองด้วย ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ระยะเวลาค่ะ”

Advertisement

ดีใจที่ได้คำตอบแบบนี้เพราะช่วงที่ผ่านมาพี่เป็นห่วงมาก และตอนนี้ได้คำตอบแล้วว่าทุกอย่างดีเสมอ?

“ใช่ค่ะพี่ เป้ยวันนี้ไม่เหมือนเป้ยวันนั้น มันผ่านมาหมดแล้วทุกๆ อย่าง คือมันต้องยอมรับเนอะพี่วู้ดดี้ มันก็ต้องมีร้องไห้ เสียน้ำตา เสียใจ ทุกๆ อย่างมันเกิดขึ้นอยู่แล้วค่ะ แต่พอมันผ่านระยะมาสักพักใหญ่ เวลามันเดินผ่านไปประสบการณ์สอนเรา ที่สุดแล้วมันไม่มีใครอยู่กับเราเท่าตัวเราเอง ไม่มีใครปลอบใจเราได้ดีเท่ากับตัวเราเอง”

ดังนั้นการรักตัวเองของเป้ย มันเป็นยังไงบ้าง?

“คือต้องบอกอย่างงี้ก่อน ในช่วงเวลาที่ผ่านมา 10 กว่าปี เป้ยก็ไม่ได้เสียใจในสิ่งที่ ณ ตอนนั้นเป้ยตัดสินใจแบบนั้น เป้ยว่าทุกอย่างทุกเหตุการณ์ ในช่วง ณ เวลานั้นมันมีข้อดีเสมอ อย่างน้อยๆ ณ ตอนนั้นก็คิดว่าได้ทำเพื่อลูก ลูกเป็นหลักเลย เวลาตัดสินใจอะไร แต่ ณ วันนี้ปัจจุบัน ขอเลือกทำเพื่อตัวเองบ้างแล้ว เป้ยควรจะได้มีความสุข และควรเป็นคนที่ได้รับความสุข เป้ยคิดแบบนั้น ผู้หญิงถ้ามีแต่ความทุกข์แล้วจะเอาความสุขที่ไหนไปเลี้ยงลูก ฉะนั้นเป้ยควรได้รับสิ่งนั้น”

ตอนนี้ลูกๆ อายุเท่าไหร่กันแล้ว?

“คนโต 11 ขวบ คนเล็ก 6 ขวบค่ะ”

เราจัดการยังไงอายุต่างกันเลยสองคน?

“มันก็ยากนะคะสำหรับเป้ย แต่เรามีทริคอันหนึ่งที่ใช้มาตลอด คือดูที่ความสัมพันธ์เป้ยกับแม่ คือเราเป็นเหมือนเพื่อนกัน ความผูกพันกันไม่เคยมีอะไรปิดบังแม่เลย ฉะนั้นเป้ยก็จะเอาวิธีนี้มาบริหารกับลูก เราเหมือนเป็นเพื่อนกันค่ะ เราพูดคุยกันทุกคืนก่อนนอน ลูกไปเจออะไรมาบ้าง เป้ยไม่ได้ไปกำหนดว่าลูกจะต้องทำแบบนี้ ลูกก็ควรจะทำตามแม่ จะเป็นการแชร์ความคิดเห็น แต่เราก็ต้องแชร์ในส่วนของเราด้วยว่าถ้าเป็นแม่จะเป็นอย่างนี้ แต่ที่สุดแล้วแม่ก็จะเคารพในการตัดสินใจของลูก คืออธิบายในความเป็นจริงไม่ได้ให้เขาอยู่ในโลกของความฝัน

เขาต้องเรียนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่ไปฟังจากปากใคร หรือไม่ใช่ไปเรียนรู้จากใคร คนที่อยู่ใกล้ชิดที่สุดคือตัวเป้ยที่จะเป็นคนอธิบายได้ดีที่สุดว่าปัจจุบันมันเกิดอะไรขึ้นบ้างเขาก็ควรจะรับรู้ โชคดีที่ลูกคนโต พี่โปรดเขาน่ารักมาก เป็นเด็กที่มีเหตุผล เวลาพูดอะไรหรือเวลาที่เขาฟังอะไรก็จะตั้งใจฟัง แล้วเขาก็พร้อมที่จะแชร์กับเป้ยอย่างจริงใจ ส่วนคนเล็กอยู่ในวัยที่ยังสดใสยังไม่ได้รับรู้ในจุดๆนี้ แต่ก็ต้องค่อยๆ อธิบายให้เขาฟัง เขาค่อนข้างที่จะเป็นเด็กที่โตกว่าวัย แต่โลกของเขายังสดใสเกินกว่าที่อาจจะรู้รายละเอียดในเรื่องของผู้ใหญ่ แต่เราก็จะแชร์ในแบบยกตัวอย่างให้เขาเห็นภาพ”

ดังนั้นอนาคตจะมั่นใจได้ว่าลูกจะไปลองอะไรหรือจะทำอะไรก็จะสามารถมาปรึกษาแม่ได้?

“เป้ยจะพยายามทำให้ออกไปในทิศทางแบบนั้น แต่ก็ไม่รู้หรอกว่าเรื่องอนาคตมันจะเป็นยังไง เชื่อว่าทุกวันนี้มันดี ฉะนั้นถ้าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เป้ยมองว่าก็อาจจะเป็นในรูปแบบที่แบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปได้ เราสามารถยังอยู่ในทางที่ไม่ปิดกั้นเกินไป เชื่อว่าจะมีบางอย่างที่มันจะมีความลับที่เราไม่อยากบอก แม้กระทั่งเพื่อน แต่ถ้ามีเพื่อนอยู่ข้างๆ ถึงแม้ว่าเขาไม่พูดแต่เขาอุ่นใจ คุณไม่จำเป็นต้องบอกทุกอย่าง อธิบายทุกอย่างก็ได้ แต่ฉันเตรียมพร้อมอยู่ตรงนี้นะ”

ช่วงที่ผ่านมาด้วยความแรงของข่าว เราจัดการยังไงสำหรับลูกที่อาจจะเปิดรับสื่อหรือได้ยินบ้าง ส่งผลกระทบไหม?

“ส่งผลกระทบบ้างค่ะ แต่อย่างที่บอกเป้ยมีการพูดคุยกับลูกตลอดเวลา อธิบายทุกอย่าง แต่ที่สุดแล้ว เราก็ต้องบอกว่าในความเป็นพ่อเป็นแม่มันจะยังคงอยู่ตลอดไปจะไม่หายไปไหน ฉะนั้นโปรดไม่ต้องกังวลเลย เพียงแต่ว่าในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่มันอาจจะมีเปลี่ยนไป”

สิ่งที่ได้เรียนรู้มากที่สุดในชีวิตช่วงนี้?

“ได้ทุกอย่างเลย เรียนรู้ทุกอย่าง แต่เป้ยตกผลึกได้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตมันย่อมมีเรื่องดีเสมอ เป้ยมองแบบนี้”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image