เดินหน้ายุติปัญหาความรุนแรง สถิติปี 65 ยอดพุ่ง 3 เท่า สลด! ฆ่ากันตายมากสุดกว่าทุกปี

เดินหน้ายุติปัญหาความรุนแรง สถิติปี 65 ยอดพุ่ง 3 เท่า สลด! ฆ่ากันตายมากสุดกว่าทุกปี

เนื่องในเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับบริษัท สปา – ฮาคูโฮโด จำกัด (SPA HAKUHODO) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนา “หยุดสัญญาณร้าย..ก่อนกลายเป็นข่าวพาดหัว” ที่ศูนย์การค้าจามจุรีสแควร์ โดยจัดทำหนังสือพิมพ์เฉพาะกิจ จำลองสถานการณ์ความรุนแรงที่กลายเป็นข่าวพาดหัวแจกจ่ายกลางเมือง แจกผู้ร่วมงานและประชาชนทั่วไป เพื่อการกระตุ้นเตือนให้สังคมเฝ้าสังเกต และไม่เพิกเฉยต่อสัญญาณอันตราย

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากข้อมูลผู้ขอคำปรึกษาของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ปี 2565 พบผู้หญิงถูกกระทำความรุนแรงเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่ต้องการความช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย โดยผู้กระทำส่วนใหญ่มีแอลกอฮอล์และสารเสพติดเป็นตัวกระตุ้น ซึ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นต้นทางของปัญหาความรุนแรงในครอบครัว มีการศึกษาพบว่า 80% ได้รับผลกระทบจากคนที่ดื่มแอลกอฮอล์ ข้อมูลล่าสุดพบว่าความรุนแรงในครอบครัวเกิดขึ้นกับผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ที่สำคัญคือผู้ถูกกระทำทุกคนหรือ 100% ถูกกระทำซ้ำและทวีความรุนแรงขึ้น

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม

นางสาวจรีย์ ศรีสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่าย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า จากการสรุปสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวปี 2565 ที่เผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ พบแนวโน้มการก่อเหตุรุนแรงเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า โดยมีรายงานข่าวถึง 1,131 เหตุการณ์ เพิ่มจากปี 2564 ที่มี 373 เหตุการณ์ ปี 2563 มี 593 เหตุการณ์ ปี 2561 มี 623 เหตุการณ์ และ ปี 2559 มี 466 เหตุการณ์ ลักษณะที่พบมากสุดในปี 2565 คือ ฆ่ากัน 534 เหตุการณ์ คิดเป็น 47.2% ทำร้ายกัน 323 เหตุการณ์ คิดเป็น 28.6% ฆ่าตัวตาย 155 เหตุการณ์ คิดเป็น 13.7% ความรุนแรงทางเพศ 64 เหตุการณ์ คิดเป็น 5.6% และความรุนแรงในครอบครัว 55 เหตุการณ์ คิดเป็น 4.9%

Advertisement
นางสาวจรีย์ ศรีสวัสดิ์

“ที่น่าห่วงคือการมองปัญหาครอบครัวเป็นเรื่องส่วนตัวภายใต้ระบบคิดแบบชายเป็นใหญ่ การแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว สังคมต้องเริ่มต้นจากการป้องกันโดยจับสัญญาณตั้งแต่ระยะแรก มีปัจจัยกระตุ้นจากแอลกอฮอล์ ซึ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น การแก้ไขหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ บูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่น พัฒนาศักยภาพอาสาสมัครในพื้นที่ให้มีทักษะในการจับสัญญาณความรุนแรงในครอบครัวเพื่อช่วยเหลืออย่างทันท่วงที และพัฒนากลไกให้การคุ้มครองผู้ประสบปัญหาและการปรับทัศนคติผู้กระทำด้วย ที่สำคัญคือการปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็ก เรื่องการเคารพสิทธิเนื้อตัวร่างกาย ภรรยาไม่ใช่สมบัติของสามี” นางสาวจรีย์ กล่าว

ด้าน ดร.วราภรณ์ แช่มสนิท ที่ปรึกษาแผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ สมาคมเพศวิถีศึกษา กล่าวว่า สถิติข่าวความรุนแรงที่รับรู้ผ่านสื่อมวลชน ยืนยันว่าปัญหาความรุนแรงในครอบครัวกำลังเป็นปัญหาร้ายแรงที่ทุกองคาพยพของสังคมไทยต้องร่วมกันแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะไม่ได้สร้างความทุกข์และความเสียหายเฉพาะกับผู้ถูกกระทำ แต่ส่งผลกระทบเรื้อรังไปถึงคนรุ่นต่อไปที่ต้องเติบโตมาในครอบครัวและสังคมที่มีการใช้ความรุนแรงด้วย

ดร.วราภรณ์ แช่มสนิท

โดยอยากให้ภาคส่วนต่างๆ ของสังคมร่วมมือกันแก้ไขปัญหาความรุนแรงนี้ และคาดหวังว่าหน่วยงานภาครัฐซึ่งมีทรัพยากร กำลังคน และอำนาจทางการบริหารที่จำเป็นในการจัดการปัญหา กำหนดยุทธศาสตร์ วางแผน และลงมือปฏิบัติการเพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหาความรุนแรงในครอบครัวอย่างจริงจัง เพราะว่าแม้จะพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองของไทยให้ก้าวหน้าไปอย่างไร

Advertisement

หากปัญหาความรุนแรงในครอบครัวยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังและได้ผล ปัญหานี้จะกลายเป็นตัวบ่อนเซาะทำลายรากฐานคุณภาพชีวิตของคนในสังคมโดยรวม และยิ่งเห็นผลกระทบของปัญหาความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image