ที่มา | น.12 นสพ.มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 9 ส.ค.2565 |
---|
การขยับขับเคลื่อนระบบสุขภาพปฐมภูมิ นับเป็นอีกหนึ่งจุดมุ่งหมายที่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ตั้งเป้าจะพัฒนา หากดูจากนโยบาย 214 ข้อ บนหน้าเว็บไซต์ของผู้ว่าฯชัชชาติแล้ว จะพบว่ามีนโยบายเรื่องการขับเคลื่อนเรื่องสุขภาพอยู่ไม่น้อย
อย่างไรก็ดี ฟากของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่เป็นอีกหนึ่งกลไกในระบบบริการปฐมภูมิ ในฐานะผู้สนับสนุนงบประมาณ ก็พร้อมที่จะสนับสนุนเม็ดเงินบนหลักคิดที่ว่า ประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง และหาก กทม.พร้อมขยายพัฒนาระบบปฐมภูมิเมื่อไร นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. ก็พร้อมที่จะตอบสนองนโยบายทันที
คนกรุงเทพฯยังเข้าไม่ถึงบริการปฐมภูมิ
นพ.จเด็จ ระบุว่า จากข้อมูลการสำรวจแสดงให้เห็นว่าประชาชนในกรุงเทพฯเข้าไม่ถึงบริการ โดยเฉพาะบริการง่ายๆ อย่างปฐมภูมิ และเกินครึ่งไม่ทราบว่าสิทธิการรักษาอยู่ที่ไหน หากเกิดการเจ็บป่วยเล็กน้อยส่วนมากจะมุ่งไปที่ร้านยาเพื่อซื้อยากินเอง หรือคิดว่า เมื่อเจ็บป่วยแล้วจะต้องไปโรงพยาบาล (รพ.) ขนาดใหญ่ หรือ รพ.โรงเรียนแพทย์
นั่นจึงเกิดคำถามว่า คนกรุงเทพฯโชคร้ายกว่าคนต่างจังหวัดหรือไม่ เพราะในพื้นที่ต่างจังหวัด ประชาชนยังรู้ว่ามีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ฉะนั้นแล้ว จึงต้องมุ่งเน้นระบบปฐมภูมิในเขตเมืองหลวง
ขณะเดียวกัน สถานการณ์โรคโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา รพ.หลายแห่งเตียงเต็ม และเกิดปรากฏการณ์การเสียชีวิตที่บ้าน เพราะไม่มีเตียงพอที่จะรองรับ จนเกิดเป็นระบบรักษาตัวที่บ้าน (Home Isolation: HI) หรือการรักษาแบบผู้ป่วยนอกในที่สุด
ทั้งหมดทั้งมวลจึงทำให้หลายคนมองว่า เหตุใดถึงไม่มาดูระบบปฐมภูมิในเขตเมืองหลวง
“ตรงนี้เป็นจุดสำคัญด้วยข้อมูลที่มีอยู่ แล้วก็เห็นปรากฏการณ์ในช่วงโควิด-19 และเมื่อมีการเลือกตั้ง เข้าใจว่าผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.หลายคนก็พูดถึงประเด็นนี้ ซึ่งแม้ว่าจะพูดเรื่องปฐมภูมิ แต่ชาวบ้านบางส่วนก็ไม่เข้าใจความหมาย” นพ.จเด็จ กล่าว
อย่างไรก็ดี การจะบอกว่าบริการปฐมภูมิคืออะไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับนิยาม ร้านยาก็ถือว่า เป็นหน่วยปฐมภูมิ เช่นเดียวกับการรักษาตัวเองที่บ้าน ขณะเดียวกัน ท่ามกลางเทคโนโลยีมากมายที่เกิดขึ้น แต่กลายเป็นว่าประชาชนไม่เคยทราบเรื่องหน่วยบริการปฐมภูมิ
นพ.จเด็จขยายความว่า ทุกปี จะมีประชาชนประมาณ 2 ล้านคน ที่ สปสช.ลงทะเบียนให้โดยที่ประชาชนไม่รู้ตัว ตรงนี้ถือเป็น จุดอ่อน เพราะไม่เคยมีการเข้ามาแสดงสิทธิ หากเทียบกับระบบประกันสังคมแล้ว ยังสู้ไม่ได้
ส่วนนี้เอง ทำให้จะเกิดเป็นนโยบายใหม่ในอนาคต คือ การให้ประชาชนเลือกหน่วยบริการได้เอง และก็จะทำให้ทราบเลยว่า แต่ละคนมีสิทธิอยู่ที่หน่วยบริการใด ซึ่งถือเป็นความท้าทายอีกหนึ่งเรื่อง
“การไปรับบริการของผู้ป่วยทั่วประเทศประมาณ 3.8 ครั้งต่อคนต่อปี แต่สำหรับกรุงเทพฯ 1.1 ครั้งต่อคนต่อปี จึงทำให้เราเห็นว่า วันนี้ไม่ว่านโยบายระดับการเมือง หรืออะไรก็แล้วแต่ที่พูดถึงปฐมภูมิใน
เขตเมือง เราเห็นด้วย” นพ.จเด็จ ระบุ
ตรงนี้อาจจะเป็นสิ่งที่จะต้องช่วยกันเสริมต่อไปว่า ของดีไม่จำเป็นต้องราคาแพง เพราะก็มีของดีที่ราคาเหมาะสมอยู่
ปรับบทบาท สปสช.เป็นผู้สนับสนุน
สิ่งหนึ่งที่ สปสช.ยังจำเป็นต้องเสริม นั่นคือ ยังไม่มีหน่วยบริการเพียงพอที่จะรองรับประชาชน เนื่องจากในขณะนี้มีจำนวนคลินิกชุมชนอยู่ประมาณ 200 แห่ง แต่ นพ.จเด็จ ระบุว่า ยังไม่พอ อย่างน้อยต้องมี 500 แห่ง
นั่นเป็นเพราะ เมื่อนับแล้ว จะมีประชาชนประมาณ 2 ล้านคนที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในกรุงเทพฯ ยังไม่นับรวมประชาชนที่มาจากต่างจังหวัด และยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอีกนับล้านคน
ตรงนี้จะสอดคล้องกับการที่ กทม.จะเข้ามาเป็นเจ้าภาพระบบบริการปฐมภูมิในเขตเมืองหลวง และ สปสช.ก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง
อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของ สปสช. คือ การหาเอกชนเข้ามาร่วม ขณะเดียวกัน ในกรุงเทพฯ ก็มี ศูนย์บริการสาธารณสุข ภายใต้สังกัดสำนักอนามัย กทม.แต่ สปสช.จะปรับบทบาทใหม่ นั่นคือการเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณที่จะเกิดขึ้นผ่านบริการคลินิก เพราะที่ผ่านมา สปสช.ถูกมองว่าเป็นผู้มีปฏิสัมพันธ์กับคลินิกชุมชนอบอุ่น แต่ในความเป็นจริงแล้วคือ ศูนย์บริการสาธารณสุข
“รูปแบบนี้ คือรูปแบบใหม่ที่จะทำ เราพยายามจะถอยบทบาทจากการจัดบริการ เข้ามาทำบทบาทของการสนับสนุนงบ โดยที่อยากให้เขาสร้างเป็นเครือข่ายทำงานร่วมกัน ด้วยการเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง นี่คือทฤษฎี ก็คิดว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง ในอนาคตก็อาจจะต้องทำต่อไป” นพ.จเด็จกล่าว
สปสช.พร้อมสนองนโยบายผู้ว่าฯกทม.ทันที
จากนโยบาย 214 ข้อ ของผู้ว่าฯชัชชาติ นพ.จเด็จ บอกว่า เมื่อดูแล้วจะพบว่ามี 9 ข้อ ที่เกี่ยวกับบริการสาธารณสุข และ สปสช.สามารถสนับสนุนได้หมดแน่นอน เช่น การจะขยายการตรวจนอกเวลาของศูนย์บริการสาธารณสุข การบริการรถโมบายสุขภาพเชิงรุก หรือรถโมบายเพื่อให้บริการผู้ป่วยในชุมชน ซึ่งมองว่า หากจะทำเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคร่วมด้วยก็ยังได้ และ สปสช.
ก็ยินดีที่จะสนับสนุนเงิน
จากการศึกษานโยบายอย่างละเอียด พบว่า ในทุกข้อไม่ได้มีข้อขัดแย้งกับกลไกของ สปสช. และจากการพูดคุยกับฝั่ง กทม. สปสช.ก็ได้นำนโยบายทั้งหมดเข้าที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ที่มี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธาน และคณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขตพื้นที่ (อปสข.) ในกรุงเทพฯเป็นที่เรียบร้อย
“ให้เราไปเป็นเจ้าภาพในบางบทบาท อาจจะไม่ใช่ เพราะเราเป็นคนสนับสนุนงบ เรายินดีสนับสนุนการนำของผู้ว่าฯกทม. และจะทำกลไกทุกอย่างเพื่อทำให้นโยบายของท่านสำเร็จ” นพ.จเด็จ ระบุ
สิ่งหนึ่งคือ อยากให้ความมั่นใจว่า สปสช.ไม่ใช่ตัวอุปสรรค เพราะจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่มักจะพูดกันว่า ติดอยู่ที่ สปสช. ฉะนั้นเรื่องนี้ นพ.จเด็จบอกว่า ตนเองอยู่ตรงนี้ต้องไม่ติด
ทั้งหมดทั้งมวล ตั้งต้นจากประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ สปสช.เป็นองค์กรที่ถูกตั้งมาเพื่อทำหน้าที่แทนประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการอย่างมีคุณภาพ รวมไปถึงจัดสรรงบให้แก่หน่วยบริการอย่างเหมาะสม
สำหรับบริการปฐมภูมิในกรุงเทพฯ เป็นสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้น และจะเป็นคำตอบให้แก่ระบบหลักประกันทั่วโลก เพราะบริการปฐมภูมิในเขตเมืองหลวง แทบจะไม่มีประเทศที่เป็นตัวอย่างที่โดดเด่น
“ถ้าเราทำสำเร็จ อาจจะยิ่งกว่าอยู่ท็อป 3 ท็อป 1 ไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์ก หรือว่าลอนดอน ทุกที่มีปัญหาเรื่อง Primary Care ในเขตเมืองหลวง เพราะมีปัญหาซับซ้อนในเมืองหลวงเยอะ คนจน คนไร้บ้าน อย่าคิดว่าเมืองหลวงต้องมีแต่คนรวยเท่านั้น” นพ.จเด็จ ระบุ
นพ.จเด็จ ย้ำว่า สปสช.เป็นผู้สนับสนุน หากวันนี้ บริการปฐมภูมิในเขตเมืองหลวงมีเจ้าภาพ สปสช.ก็จะยินดีที่จะเข้าไปสนับสนุนให้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพราะผู้ว่าฯกทม.ก็มีหน้าที่ และความรับผิดชอบที่จะต้องตอบคำถามประชาชน เฉกเช่นเดียวกับ สปสช.