‘เพื่อไทย’ ยันซักฟอก 152 บรรลุเป้าหมาย หลังชี้เป้าความล้มเหลว 4 ด้าน ‘ประยุทธ์’ ลั่น ให้ปชช.ตัดสิน

‘เพื่อไทย’ ยันซักฟอก 152 บรรลุเป้าหมาย หลังชี้เป้าความล้มเหลว 4 ด้าน ‘ประยุทธ์’ ลั่น ให้ปชช.ตัดสินตอนเลือกตั้ง ลั่น ยิ่งอยู่ต่อยิ่งพังอีก 8 เรื่อง

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) มีกาาจัดเสวนา ‘คำถามที่ประยุทธ์ตอบไม่ได้ ทำไมถึงอยากไปต่อ’ โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรรค พท. นายจาตุรนต์ ฉายแสง กรรมการยุทธศาสตร์พรรค พท. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรค พท.

โดย นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ในมุมของฝ่ายค้านการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เมื่อวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์การทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร คณะรัฐมนตรี (ครม.) แม้การอภิปรายตามมาตรา 152 กำหนดไว้ให้สอบถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อ ครม.โดยไม่มีการลงมติ แต่กระบวนการการทำงานของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ทำเสมือนการอภิปรายแบบมีการลงมติ คนลงมติคือพี่น้องประชาชนที่จะพิจารณาว่า จะให้ลงคะแนนในการเลือกตั้งต่อไปหรือไม่

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ในการอภิปรายตามมาตรา 152 เน้นย้ำประเด็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ในสมัย 4 ปีนี้และสมัยต่อเนื่องมาจาก 4 ปี จากรัฐบาล คสช. เพราะมีนายกรัฐมนตรีคนเดียวกันใน 4 เรื่องหลัก คือ 1.มิติทางการเมืองการปกครอง การเมืองยุคนี้เป็นประชาธิปไตยเงินสด หรือธนกิจการเมือง มีการใช้เงิน ใช้อำนาจเพื่อให้อยู่ในอำนาจและสืบทอดอำนาจ ตั้งแต่กระบวนการจัดทำกติกา วางกติกาให้รัฐสภาเลือกนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงการแจกกล้วยเพื่อให้ ส.ส. มีความเห็นร่วมกัน 2.มิติเชิงเศรษฐกิจ ใน 8 ปีที่พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในตำแหน่ง การทำมาหากิน ค่าแรง การดำรงชีวิต ปัญหาที่ทำกิน หนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน การกู้เงิน 5.7 ล้านล้านบาท ด้านสังคม ความเหลื่อมล้ำ การเข้าถึงการบริการของรัฐ การเรียกรับผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐ รวมไปถึงปัญหายาเสพติด

นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า 3.มิติทางสังคม คือความเหลื่อมล้ำรวมถึงการเข้าถึงการบริการของภาครัฐ การบริหารราชการแผ่นดินที่เอาผลประโยชน์เข้ากับพวกพ้อง และ 4.อาชญากรรมทางด้านไซเบอร์บานเป็นดอกเห็ด พี่น้องประชาชนได้รับผลกระทบมากจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำลายมิติเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวง ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ต้องมีคำตอบให้สังคม แต่ตอบแบบโต้วาทีและย้อนความผิดให้รัฐบาลเดิม ต้องขอบคุณทีมพล.อ.ประยุทธ์ที่คิดการตอบแบบนี้ ถือเป็นการทำลายพล.อ.ประยุทธ์โดยไม่รู้ตัว

Advertisement

“หลานของคุณได้งานเป็น 1 พันล้าน มันมาจากการแข่งขันที่แท้จริงหรือไม่ เรื่องพวกนี้คุณบอกว่าไม่เคยทุจริตซักบาท แต่คนรอบข้างตัวคุณมีรายได้มหาศาลจาก 3 แสนล้าน ขึ้นมา 9 แสนล้านบาท เกือบสามเท่าตัวคืออะไร พล.อ.ประยุทธ์และคณะไม่ใช้โอกาสนี้ตอบ และชี้แจงกับประชาชน ถือว่าช่วยไม่ได้ ซึ่งคะแนนในวันเลือกตั้งจะเป็นมติ ผมมั่นใจว่าพรรคฝ่ายประชาธิปไตยจะได้คะแนนอย่างถล่มทลาย” นพ.ชลน่าน กล่าว

ด้าน นายจาตุรนต์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยยอมรับว่าตนเองผิดพลาด หากอยู่ในอำนาจต่อ จะไม่มีทางแก้ไขได้เลย 8 เรื่อง ดังนี้ 1.การต่างประเทศ หลังรัฐประหารประเทศไทยหาที่ยืนบนเวทีต่างประเทศไม่ได้ จากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของนานาประเทศ ที่ให้ความสนใจ 2 ประเด็นได้แก่ การปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศทำได้มากน้อยเพียงใด จากกรณีที่ประเทศไทยไม่แสดงความยอมรับกฎหมายระหว่างประเทศจากกรณีงดออกเสียงความขัดแย้งในรัสเซีย-ยูเครน และกรณีที่ทั่วโลกมีมติให้เมียนมาคืนประชาธิปไตยโดยเร็ว ประเทศไทยที่ควรทำได้ดีในเรื่องนี้ที่สุด กลับไม่ทำและยังทำตรงข้าม ตอนนี้ประเทศไทยกลายเป็นตัวตลกในเวทีการต่างประเทศ เราไม่สามารถร่วมมือกับต่างประเทศได้

นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า 2.รัฐบาลไทยไม่สามารถมีความตกลงทางการค้าเสรี หรือ FTA กับประเทศใหญ่ๆ ในรอบ 8 ปีที่ผ่านมา การดำเนินการเป็นไปแบบมะงุมมะงาหรา ภาพพจน์ประเทศตกต่ำ ไทยเสียโอกาสส่งออกมหาศาล หากพล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อ จะทำเรื่องนี้อย่างไร้ประสิทธิภาพ 3.ความล้มเหลวในการดึงการลงทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากการพัฒนาโครงการสร้างพื้นฐานล่าช้า พัฒนาคนให้มีทักษะเพื่อรู้จักใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ล่าช้า ไม่แก้ไขกติกาที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน 4.ทำลายหลักนิติธรรม ทำลายระบบการจัดซื้อจัดจ้างทุกระดับ ใช้อำนาจไม่ถูกต้องในการยกเลิกการดำเนินการของบริษัทต่างประเทศ การรับรองแรงงานข้ามชาติมีระบบการรีดไถเกลื่อน

Advertisement

นายจาตุรนต์ กล่าวอีกว่า 5.นโยบายการคลังที่ก่อหนี้สูง 6.การทุจริตคอร์รัปชันในแวดวงราชการ องค์กรตรวจสอบถูกรับรองโดยวุฒิสภา 7.วางระบบการบริหารประเทศ โดยใช้ฝ่ายความมั่นคงครอบงำการบริหารราชการแผ่นดิน และ 8.ทำประเทศเสียหาย ขาดรายได้จากการประมงหลายแสนล้านบาท

นายจาตุรนต์ กล่าวอีกว่า หากพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีอีก ไม่มีทางจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้และไม่สมควรจะอยู่ต่อไป ตนหาเหตุผลไม่ได้ว่าพล.อ.ประยุทธ์ต้องการอยู่ต่อเพื่อทำอะไรในทางที่ดีให้กับประเทศ สิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ต้องการคือเวลาเคลียร์เรื่องต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องทุจริต และการใช้อำนาจในทางไม่ชอบ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ พูดเองในสภาว่าคดีทุจริตมี 300-400 คดี เกิดความเสียหายกรณีปิดเหมืองทองอัตรา 40,000 ล้านบาท และยังให้เอกชนสำรวจเพิ่ม พล.อ.ประยุทธ์ เอาทรัพยากรของประเทศไปให้ต่างประเทศได้อย่างไร หาก พท.เป็นรัฐบาล จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้องค์กรอิสระ เป็นองค์ที่อิสระจริง พล.อ.ประยุทธ์เสพติดอำนาจ คล้ายกับผู้นำบางประเทศที่มาจากรัฐประหารในอดีต ทีดิ้นรนเพื่ออยู่ต่อให้ได้ มีการสร้างพรรคใหม่ ไปหาเสียงยังไม่รู้เลยว่านโยบายคืออะไร อุดมการณ์คืออะไร

“ไล่ดูแต่ละเรื่องที่ทำไว้มีแต่ติดลบ โตช้า ความเสียหายเต็มไปหมด และยังขอเวลาอยู่อีก 2 ปี บอกว่าจะพลิกโฉมประเทศ ก็เท่ากับว่ายอมรับความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยคนเดิม ซึ่งก็ขัดกัน เมื่อก่อนคงกล่าวว่า คนลงจากหลังเสือไม่ได้ แต่ตอนนี้เป็นวัวอยู่บนหลังเสือ เป็นวัวสันหลังหวะที่อยู่บนหลังเสือ” นายจาตุรนต์ กล่าว

ขณะที่ นายพิชัย กล่าวว่า ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 152 ที่ฝ่ายค้านได้เปิดเผยปัญหาต่างๆ ที่รัฐบาลที่สร้างขึ้นตลอด 8 ปี แต่พล.อ.ประยุทธ์ ตอบไม่ตรงกับที่ฝ่ายค้านอภิปราย ทั้งเรื่อง การทุจริตคอรัปชั่นที่กระจาย เรื่องทุนจีนสีเทา ที่มีการพูดถึงว่าในสมัยพล.อ.ประยุทธ์ได้เปลี่ยนจากตำรวจที่มีสีกากีให้กลายเป็นสีเทาแล้ว รวมถึงความพัวพันในธุรกิจของเครือญาติพล.อ.ประยุทธ์กับทุนจีนสีเทานี้ พฤติกรรมของตำรวจภายใต้การกำกับดูแล และบังคับบัญชาโดยพล.อ.ประยุทธ์ และความล้มเหลวในการบริหารประเทศในทุกด้าน

นายพิชัย กล่าวต่อว่า โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับเองว่าไม่มีความรู้ความสามารถในเรื่องนี้ โดยล่าสุด สภาพัฒน์ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 โดยขยายตัวได้เพียง 1.4% ซึ่งถือว่าต่ำมาก ทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2565 ทั้งปี ขยายได้เพียง 2.6% ต่ำกว่าที่คาดประมาณอย่างมาก สาเหตุหลักน่าจะมาจากการส่งออกที่ติดลบถึง 10.5% ในไตรมาสที่ 4 นี้ที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรค พท.ได้เตือนไว้แล้ว และสภาพัฒน์ยังเตือนว่าการส่งออกในปี 2566 นี้จะติดลบ ซึ่งพรรค พท.ได้เตือนไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และสภาพัฒน์ยังลดการคาดการณ์เศรษฐกิจในปีนี้เหลือเพียง 3.2% หรืออาจจะต่ำกว่านึ้ก็เป็นได้ อีกทั้งคนไทยยังมีรายได้ต่อหัวต่อคนลดลงในรูปดอลล่าร์ โดยตลอด 8 ปีมานี้เศรษฐกิจไทยขยายตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์มาตลอด และขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพมาก ดังนั้นที่อ้างว่าเศรษฐกิจดีจนมีคนชมเชยนั้นจึงไม่เป็นความจริง

นายพิชัย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบเศรษฐกิจไทยกับเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้าน จะพบว่าเศรษฐกิจไทยปี 65 ที่ขยายได้เพียง 2.6% ต่ำกว่าประเทศในอาเซียนมาก โดยเศรษฐกิจมาเลเซียที่เป็นประเทศรายได้สูงแล้วยังขยายได้ถึง 8.7% เวียดนามขยายได้ 8.0% ฟิลิปปินส์ 7.8% อินโดนิเซีย 5.3% แม้กระทั่งสิงคโปร์ยังขยายได้ 3.8% ซึ่งเท่ากับไทยขยายตัวได้ต่ำที่สุด และเป็นแบบนี้มาตลอด 8 ปีแล้วไม่ใช่เพียงปีนี้ โดย 5 ปัจจัยเสี่ยงที่พรรค พท.เตือนเริ่มเป็นปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งปัญหาหนี้ที่เพิ่มขึ้นไม่หยุดโดยเฉพาะหนึ้เสียในภาคธนาคาร เศรษฐกิจโลกที่ทรุดลงอย่างรวดเร็ว ปัญหาดอกเบี้ยขาขึ้นที่เพิ่มภาระประชาชนทั้งภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน ปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอึดจากเดือนมกราคมที่ยังพุ่งต่ออีก 5.02% หลังปีที่แล้วเงินเฟ้อพุ่งไป 6.08% และปัญหาราคาพลังงานที่ราคาในตลาดโลกลดแล้ว แต่ไทยกลับไม่ยอมลด แถมก๊าซหุงต้มยังจะยิ่งเพิ่มขึ้น ซึ่งจะสร้างความลำบากอย่างมาก

“ปัญหาเหล่านี้ พล.อ.ประยุทธ์ตอบไม่ได้ แต่ทำไมจึงอยากจะไปต่อ ซึ่งหากปล่อยให้รัฐบาลนี้บริหารต่อไป เศรษฐกิจไทยจะทรุดลงไปอีก จึงถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนการบริหารและต้องปรับเปลี่ยนนโยบายทั้งหมดเพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ ทั้งเรื่องราคาพลังงานที่จะต้องลดลง การสร้างรายได้ใหม่ การงทุนและสร้างธุรกิจ สมัยใหม่ เป็นต้น การปรับเปลี่ยนประเทศในหลายๆ ด้านไปพร้อมกัน เพื่อให้ก้าวหน้าทันประเทศเพื่อนบ้าน ก่อนที่จะสายเกินไป” นายพิชัย กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image