ที่เห็นและเป็นไป : กลิ่น ‘สนิมเนื้อใน’

ที่เห็นและเป็นไป : กลิ่น ‘สนิมเนื้อใน’

อาจจะเพราะความเป็นจริงมีอยู่ว่า “รัฐบาล” ที่มี “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรี ระดมเสียงสนับสนุนเป็นพรรคร่วมรัฐบาลถึง 314 เสียงจาก 11 พรรค ซึ่งถือว่าเกินครึ่งสภาไปมาก และยังเป็น “รัฐบาลสลายขั้ว” ลดทอนการต่อต้านในมิติของความขัดแย้งในแนวทางที่แตกต่างลง

พร้อมๆ กับการรับรู้ว่า “ฝ่ายค้าน” อย่างพรรคก้าวไกลที่ถูกโดดเดี่ยวอยู่แล้ว ยังถูกไล่ถล่มจนเอาตัวไม่รอด ไม่มีทางที่จะมีพลังเพียงพอที่จะเล่นงานได้

ทำให้เกิดความเชื่ออย่างหนักแน่นในวงกว้างว่าจะเป็นรัฐบาลที่อยู่ครบ 4 ปีอย่างสบายๆ ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ จัดการเพื่อสร้างผลงานเรียกคะแนนนิยมไป เลือกครั้งหน้า โอกาสที่จะเรียกชัยชนะคืนย่อมมีอยู่

Advertisement

แต่อย่างว่า ความเชื่อก็คือความเชื่อ ด้วยความจริงจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับความเปลี่ยนแปลงของเหตุที่มาประกอบกันพาให้เป็นไป

“พรรคก้าวไกล” ถูกปิดโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างสิ้นเชิงเป็นเรื่องที่ใครก็ปฏิเสธไม่ได้นั้นแน่นอน แต่หากหมายความว่าทำให้ “รัฐบาลผสมชุดนี้” มีความแข็งแกร่งเสถียรภาพนั้นดูจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องแยกพิจารณาจากชะตากรรมของ “พรรคก้าวไกล”

แน่นอน! ก่อนหน้านี้อาจจะมองเห็นได้ยากว่าจะมีอะไรทำลายความแข็งแกร่งในเสถียรภาพนั้นได้

Advertisement

แต่ถึงวันนี้ เสียงที่พูดถึงเริ่มไม่เหมือนเดิมด้วยความเชื่อมั่นอย่างเด็ดขาดเสียแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการปรับคณะรัฐมนตรีที่เพิ่งผ่านมา

เรื่องราวภายในพรรคเพื่อไทย แม้จะกระเพื่อมบ้างหลังราคาของ “ผู้ทำงานให้พรรคอย่างทุ่มเทมาก่อน” อย่าง “หมอชลน่าน ศรีแก้ว-พวงเพ็ชร ชุนละเอียด-ไชยา พรหมา” ถูกปลดจากรัฐมนตรีจนไม่มีน้ำหน้ามาร่วมกิจกรรมพรรคในช่วงที่ผ่านมา เกิดคลื่นความคิดเล็กๆ เป็นคำถามถึงชะตากรรมของ
คนเก่าคนแก่ที่มีฐานเสียง ในยุคสมัยที่พรรคต้องการให้บทบาทกับคนหนุ่มคนสาว

แต่ดูจะไม่ส่งผลก่อกระแสอะไรมากนัก น่าจะค่อยๆ หายไปในสายลม ไม่ต่างจากการลาออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของ “ปานปรีย์ พหิทธานุกร” ที่ไม่ส่งแรงกระเพื่อมใดๆ

เพียงแต่หลังจากการลาออกของ “นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ” จาก รมช.คลัง ตามด้วยคณะรัฐมนตรีล้มมาตรการแก้ปัญหาราคาน้ำมันของ “นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รมว.พลังงาน, พร้อมการที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” ปลุกกระแสข้าว 10 ปีในโครงการรับจำนำสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ขึ้น แล้วระดับโฆษกรัฐบาล “ชัย วัชรงค์” ออกมาถามหาค่าเสียหายจากการจัดการให้มูลค่าของข้าวเสียหายไปเป็นหลายหมื่น หรือเป็นแสนล้านบาท เรียกว่าผู้ได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้

เป็นปรากฏการณ์ที่ถูกประเมินว่าเป็น “กลิ่นของรอยร้าวในพรรคร่วมรัฐบาล” ที่เกิดขึ้นท่ามกลางข่าวที่ถูกปล่อยออกมาให้เป็นกระแสโจมตี “ทักษิณ ชินวัตร” รุนแรง พร้อมกับเหมือนเจตนาปลุกให้เรื่อง “ตลก” กลายเป็นประเด็นอ่อนไหวใหญ่โต

ขณะเดียวกันข่าวจัดการให้กัญชากลับสู่บัญชียาเสพติดร้ายแรงก็ก่อคำถามถึงการไว้หน้า “พรรคร่วมรัฐบาล” อย่าง “ภูมิใจไทย” เช่นกัน

แน่นอนว่า เรื่องราวเหล่านี้ บรรดาคนร่วมรัฐบาล จะต้องยืนหยัดว่าไม่มีอะไร ทำนองเป็นการทำงานด้วยเหตุด้วยผลตามปกติ ไม่เกี่ยวกับการเอามาใช้เป็นเกมการเมืองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล

แต่อย่างว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนจะเชื่อว่า “ที่ไหนมีควัน ย่อมต้องมีไฟ”

แม้จะยังเชื่อว่า “พรรคฝ่ายค้าน” อย่าง “ก้าวไกล” ที่ยังถูกจัดการอย่างเข้มข้น ไม่หยุดหย่อน ไม่มีทางที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลได้ จึงไม่มีเหตุผลที่จะทำให้รัฐบาลอยู่ครบ 4 ปีไม่ได้

แน่นอนเป็นการมองจากเงื่อนไขภายนอก

ท่ามกลางกระแสที่เกิดให้มองกลับไปที่ภายในรัฐบาลเอง ด้วยมุมมองของความเป็นจริงว่าความอยู่รอดอย่างยืนยาวได้หรือไม่นั้น เอาเข้าจริงแล้วขึ้นอยู่กับภายในมากกว่า

“สนิมเนื้อในตน” เป็นสาเหตุของการเสื่อมสลายได้เสมอ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image