อดีตกมธ.ร่างรธน. ชี้ส.ว.ถ้าฮั้ว-โกง ต้องโมฆะ แนะระบบไม่ดีก็ค่อยๆปรับ อย่าคิดสั้น เปลี่ยนเป็นเลือกตั้ง

อดีต กมธ.ยกร่างรธน. ไม่สนสายไหนเข้าสู่สว. แต่ถ้าฮั้ว-โกงมา เลือกนี้ต้องโมฆะ จี้หยุดด้อยค่าสว.ป4 ชี้ทำงานเลิศกว่าด็อกเตอร์มีถมไป

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ที่ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น นายเจษฎ์ โทณะวณิก ประธานคณะนิติศาสตร์ วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย และอดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2560 กล่าวถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ทั้งก่อน และหลังการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ว่า เห็นว่า ต้องแยกออกเป็น 3 เรื่อง 1.บทบัญญัติของพ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. 2561 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า ไม่มีบทบัญญัติใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2 การทำหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งระบบการเลือกกันเองเช่นนี้ เหมือนกับการเล่นกีฬา โดยกรรมการจะต้องทำหน้าที่อย่างเข้มงวด เช่นต้องไม่ปล่อยให้มีการนำโพยเข้าไป อุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และต้องจับตาดูตลอดเวลา หากมีอะไรบิดพริ้ว หรือควรสงสัย จะต้องตัดออกไป โดยให้คนที่ถูกตัดไปร้องศาลเอาเอง ขึ้นอยู่กับศาลว่า จะให้กลับมาหรือไม่ และ 3 คนไม่ดี กรณีคนไม่ดีนั้น พูดยาก ปัญหาสำคัญที่สุด คือปัญหาคนไม่ดี มีการฮั้วกัน มีการซื้อมีการโกง ต่อให้ระบบดีอย่างไร ก็ไม่พ้นสถานการณ์ที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้น วิธีการแก้คือ ประชาชนที่รู้ที่เห็นก็ต้องช่วยกัน

“แม้จะไม่มีระบบใดคัดกรองคนไม่ดีออกไปได้หมด แต่วันนี้เมื่อได้ส.ว. มา 200 คน และสำรองอีก 100 คน ซึ่งไม่รู้ว่า กกต.จะคัดใครออกบ้าง เมื่อได้คนมาทำหน้าที่ เราก็ต้องช่วยกันตรวจสอบ สอดส่อง ใครทำหน้าที่ไม่ดี ใครทำหน้าที่บิดเบี้ยว หรือเข้าข้างใคร ใครเป็นพวกใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีการเชื่อมโยงพรรคการเมือง หรือไปเป็นฝ่ายผู้มีอิทธิพล ทำให้เห็นเด่นชัดว่า การทำหน้าที่ไม่ได้อาศัยผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก แต่อาศัยผลประโยชน์ของพวกพ้องของตนเองก็ต้องจัดการ”

นายเจษฎ์ กล่าวอีกว่า ระบบนี้ก็มีข้อขัดข้องอยู่ และเห็นว่า วิธีการแก้ที่ง่ายที่สุดคือ การเลือกระดับอำเภอระดับจังหวัด และระดับประเทศที่มีการถอนระยะเวลาห่างกันถึง 10 วัน จะต้องเลือกสถานที่ใดสถานที่หนึ่งที่มีขนาดใหญ่ เป็นหนึ่งสถานที่ จะได้เกิดการวิ่งเต้นได้น้อย ต้องห้ามนำโพย มือถือเข้าไปในสถานที่เลือก ไม่ว่าในตอนแรกผู้สมัครจะคุยกับใครก็แล้วแต่ แต่เมื่อผ่านระดับอำเภอเข้าสู่รอบไขว้ ซึ่งไม่รู้ว่า จะมีใครผ่านเข้าไปได้บ้าง คนข้างนอกก็ไม่รู้ เพราะไม่มีอุปกรณ์สื่อสาร หากมีคนข้างนอกรู้จะต้องตามจับ เพราะจะต้องมีใครสักคน ซึ่งน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ และต้องจับเจ้าหน้าที่คนนั้นให้ได้ หากทำเช่นนี้ได้ก็จะช่วยแก้ไขปัญหาได้ และวิธีการที่จะคัดสรรคน 20 กลุ่มอาจจะน้อยไป ซึ่งสภาพความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้ว อาจจะมีสัก 30-40 กลุ่ม ให้ปรับแต่งกันไป

Advertisement

“อย่าคิดสั้นๆเพียงแค่ว่า ระบบนี้ไม่ดี เปลี่ยนไปใช้การเลือกตั้งแบบหย่อนบัตร ไหนๆ มีการสร้างระบบมาแล้ว ก็ค่อยๆปรับแต่งไป อย่าทำแบบระบบการเลือกตั้งส.ส. ที่พอมีปัญหาในระบบก็เปลี่ยนเลย แต่กลับไม่ได้ดีอะไรขึ้นมา” นายเจษฎ์ กล่าว

นายเจษฎ์ กล่าวว่า เท่าที่ตนได้รับฟังมามีการคำนวณเป็นตัวเงิน ชั้นต้นจ่ายไปก่อนคนละ 5,000 บาท ไม่ทราบว่า ใครเป็นคนจ่าย ในจำนวนนี้ แบ่งเป็นได้กันคนละ 2,500 บาท เพราะเป็นค่าสมัครอีก 2,500 บาท ส่วนรอบไขว้ ก็ให้พกเงินไป คนที่คิดว่า น่าจะเป็นตัวเต็ง ก็พกเงินไปแล้วไปจ่ายในชั้นไขว้ จากนั้นเมื่อเข้าสู่ระดับจังหวัด จ่าย 10,000 บาท ในชั้นแรก ส่วนชั้นไขว้จ่าย 50,000 บาท และเมื่อเข้าสู่ระดับประเทศ การเลือกในกลุ่มเดียวกันจ่าย 100,000 บาท ส่วนรอบสองค่อยจ่าย 500,000 บาท ซึ่งตนยังไม่ทราบว่า เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ หากเป็นเช่นนี้จริง ถือว่า เป็นข้อด้อย เพราะการเมือง ยังเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ประชาชนยังตามดูไม่ได้ โดยเฉพาะประชาชนที่เข้าไปสมัคร

“อย่าลืมว่า เราจะติติงว่า กล่าวใครก็ได้ แต่คนที่ทำให้เกิดปัญหามากที่สุด คือคนที่เข้าสู่กระบวนการรับสมัคร แล้วรับเงิน 2,500 บาท รับเงินหมื่น ถึงแสนบาท คนเหล่านี้แหละ อย่าไปว่า กระบวนการ พวกท่านทุกคน ที่เข้าสู่กระบวนการเลือกส.ว. จะ 3-4 หมื่นคนก็แล้วแต่ ทุกท่านที่รับเงิน ทุกท่านที่โกงทุกท่านที่เป็นพรรคพวกกัน และทุกท่านที่ฮั้วกัน ท่านเป็นคนทำให้ระบบแย่หมดเลย เหล่านี้แหละที่ผมพูดว่า ท่านเป็นคนไม่ดี”

Advertisement

สำหรับปัญหาที่ 2 คือเรื่องของระบบ คือเรื่องทอนการเลือกเป็น 10 วัน เพราะยิ่งมีเวลาเยอะ ยิ่งทำให้วิ่งเต้นได้มาก ดังนั้น หากใครจะแก้ระบบต่อไปก็ขอให้เลือกวันเดียวจบ เพราะหาคนไปจัดการยาก หาคนแทรกแซงได้เยอะ สุดท้ายต้นคิดว่า เป็นเรื่องของอำนาจส.ว. ซึ่งการตรวจสอบอาจจะมีน้อย เวลาจะไปเลือกกรรมการองค์กรอิสระ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะเลือกใครเป็นประธานศาลปกครองสูงสุด ไม่มีคำอธิบาย และไม่มีการคัดค้าน ทั้งที่ควรเชิญมา และสอบถาม แล้วออกเป็นสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบ เหตุผลที่เลือก หากเลือกแล้วไม่เหมาะ หรือค้านสายตา ประชาชนก็จะมาถล่มท่าน หากเลือกแล้ว มีความเหมาะสม แม้จะเป็นพวกใครหรือรู้จักใคร ก็ไม่ค้านสายตา ดังนั้น เมื่อไปฝากความหวังไว้กับส.ว. ที่มาจากทางทหารก็ไม่ได้ หรือ มาจากทางประชาชนก็ไม่ได้อีก กลายเป็นว่า กระบวนการ ที่ผ่านระบบ และคนที่ผสานกัน แล้วก่อให้เกิดช่องว่าง กลายเป็นการทำให้บ้านเมืองเกิดปัญหา

เมื่อถามว่ารายชื่อว่า ที่ส.ว.ที่ออกมา 200 คน บางคนมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ หรือบางคนมองถูกมองว่า อาจจะกระทบกับคุณภาพสภาสูง ควรเป็นโมฆะหรือไม่ นายเจษฎ์ กล่าวว่า ถ้าจะเป็นโมฆะ ก็ควรจะโมฆะ เพราะว่า คนที่เข้ามา 200-300 คน ส่วนใหญ่แล้วโกง ฮั้ว ส่วนใหญ่เข้ามาโดยไม่ชอบ ลักษณะอย่างนี้ ควรให้กระบวนการเป็นโมฆะ ไปเลย แต่ถ้าเป็นเรื่องคุณสมบัติเรื่องของความรู้ อาจจะไม่ได้ ประสบการณ์อาจจะยังไม่เหมาะ แต่ถ้าไม่ได้โกง ไม่ได้ฮั้วกันมา อย่าไปตัดรอนด้วยเหตุเพียงเท่านั้น รอการทำงานก่อน

“อย่าไปคิดว่า ป. 4 ทำอะไรได้น้อยกว่าปริญญาเอก ซึ่งปริญญาเอก ทำอะไรไม่ได้เรื่องได้ราว เยอะแยะ ป. 4 ทำอะไรดีงามมากมาย คนที่ไม่เคยเล่าเรียน แต่ทำงานแล้วสามารถเข้าใจ เรียนรู้งานได้รวดเร็วก็มีมาก แต่สิ่งที่อาจจะจำเป็น คือวงงานสภา จะทำอย่างไรก็ต้องให้ความรู้แก่คนเหล่านี้ การประสานการทำงานแต่ละฝ่าย เช่นนิติบัญญัติตุลาการ และบริหาร จะทำอย่างไร แล้วท้ายที่สุด คือความรู้ที่จะต้องมีประจำของคนที่ทำงานการเมือง พอไม่ได้อยู่ในแวดวงอาจจะมีขาดตกบกพร่อง ก็ต้องดูว่า จะทำอย่างไร เพื่อเสริมให้สว.เหล่านั้นทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม ” นายเจษฎ์ กล่าว

เมื่อถามว่าที่มีการมองว่า ส.ว.สายสีน้ำเงินเข้ามาจำนวนมาก นายเจษฎ์ กล่าวว่า ตนไม่รู้ว่า สายสีน้ำเงิน สายสีแดง สายส้ม แต่ถ้าไม่ได้ฮั้ว ไม่ได้โกง จะสายไหนก็เข้ามาเถอะ แต่ถ้าฮั้ว หรือโกง ไม่ว่า จะสายไหนก็ถือว่าไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าอยากให้บ้านเมืองดี ก็ช่วยกันทำให้การเมืองดี ถ้าอยากให้บ้านเมืองเลว ก็ทำให้การเมืองเลว เพราะการเมืองเลว ทุกอย่างเลวหมด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image