จักษุแพทย์ เตือนเห็นภาพมืดกลางตา-บิดเบี้ยว สัญญาณ ‘จอประสาทตาเสื่อม’ ชี้ควันบุหรี่ทำเสี่ยงเพิ่ม

จักษุแพทย์ เตือนเห็นภาพมืดกลางตา-บิดเบี้ยว สัญญาณ ‘จอประสาทตาเสื่อม’ ชี้ควันบุหรี่ทำเสี่ยงเพิ่ม

เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ที่สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์ เครือมติชน ร่วมกับองค์กรและหน่วยงานพันธมิตรสุขภาพทั้งภาครัฐและเอกชนจัดงาน Thailand Healthcare 2024 ‘เกษียณสโมสร’ ชวนตรวจสุขภาพฟรี 30 โรงพยาบาลชั้นนำ จัดเต็ม 6 โซนเด่น 4 ไฮไลต์เพื่อสุขภาพ เพื่อฉลองครบรอบปีที่ 16 งานแฟร์สุขภาพอันดับ 1 ของประเทศ ระหว่างวันที่ 27 – 30 มิถุนายนนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ 10.00 น. ยังคงมีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม ‘Thailand Healthcare 2024 เกษียณสโมสร’ เดินทางมาที่จุดลงทะเบียนตรวจสุขภาพฟรีรอบเช้ากันอย่างคึกคักแม้จะเป็นวันที่สองของงาน โดยประชาชนส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัย ทั้งนี้ภายในงานมีเจ้าหน้าที่คอยประชาสัมพันธ์ และแจกแผ่นพับแผนผังสถานที่การจัดงานภายในงาน ให้แก่ผู้มาร่วมงานอีกด้วย

Advertisement

เมื่อเวลา 13.00 น. มีเวทีเสวนาสุขภาพ Health Talk หัวข้อ ‘โรคจอประสาทตาเสื่อม ภัยเงียบผู้สูงวัย’ โดย นพ.พรเทพ พงศ์ทวิกร จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจอประสาทตา โรงพยาบาลจักษุบ้านแพ้ว

นพ.พรเทพ กล่าวว่า ปัญหาของดวงตาที่พบบ่อยในวัยเกษียณ และเริ่มส่งผลหลายๆอย่าง โดยโรคที่พบบ่อยและเป็นอัตรายมากที่สุด คือ

  1. โรคต้อกระจก ทุกคนต้องเป็นต้อกระจก เปรียบเหมือนผมหงอก เป็นไปตามตามอายุ บางคนเป็นเร็วเป็นช้า แต่ทุกคนต้องเป็น
  2. โรคตาแห้ง เป็นเรื่องของต่อมน้ำตาผลิตน้อยลง ทำเกิดตาแห้งในผู้สูงอายุมากขึ้น
  3. โรคจุดศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมลง เป็นโรคที่พบได้มากขึ้นในปัจจุบัน และกำลังเป็นภัยคุกคามคนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ

โดยจอประสาทตานั้นมีความสำคัญมาก เพราะเป็นตัวรับภาพของเรา และมีเซลล์ประสาทที่ละเอียดอ่อน ทดแทนไม่ได้ เกิดหรืองอกใหม่ได้ ไม่เหมือนต้อกระจกที่ยังใส่เลนส์ตาเทียมได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่จอประสาทตาโดนคุกคามหรือโดนทำลายไป ไม่งอกใหม่ขึ้นมา จึงสำคัญมาก ปัจจุบันจึงต้องเตรียมตัวและพบแพทย์ให้เร็วก่อนที่จะถูกทำลายไปมาก

Advertisement

นพ.พรเทพ กล่าวต่อไปว่า โรคจุดศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม สังเกตได้จากการเห็นภาพที่บิดเบี้ยวที่พบเป็นส่วนใหญ่ สังเกตจากการเอามือปิดตาทีละข้าง มองไปตำแหน่งขอบเส้นตรงที่ใดที่หนึ่ง ในระยะเท่าเดิมตลอดเวลา เช่น ขอบประตู ทำสลับกันซ้ายขวา เช็คขอบเส้นทั้งแนวตั้งและแนวนอน หากเกิดเส้นเบี้ยวหรือเส้นแหว่ง ให้สงสัยว่าเริ่มมีสัญญาณของโรคจุดศูนย์จอประสาทตาเสื่อม แนะนำให้ทำทุกเช้า ก่อนลงจากเตียง เป็นการเช็กอาการทำให้ไปพบแพทย์ได้เร็วขึ้น

“ความรุนแรงของโรคจุดศูนยก์กลางจอประสาทตาเสื่อม เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของอาการตาบอดถาวรในอเมริกา ส่วนในเมืองไทยอันดับ 1 ของอาการตาบอดคือ โรคต้อกระจก แต่ตอนนี้ความรุนแรงของโรคจุดศูนยก์กลางจอประสาทตาเสื่อมกำลังคุกคามขึ้น เราจึงต้องมาพูดคุยเพื่อป้องกันไม่ให้ลุกลาม และไม่ให้เข้าสู่ภาวะตาบอดอย่างในอเมริกา” นพ.พรเทพ กล่าว

นพ.พรเทพ อธิบายว่า โรคจุดศูนยก์กลางจอประสาทตาเสื่อม มีความสัมพันธ์อยู่ 2 ปัจจัย คือ 1. เกี่ยวข้องอายุ หมายความว่า โรคนี้มักจะโจมตีอายุเกิน 55 ปีขึ้นไป แนะนำต้องลองไปเช็คดู และ 2. เกี่ยวกับ ควัน คือ ควันบุหรี่ ซึ่งมีการรายงานจากต่างประเทศออกมายืนยันว่า การหายใจ เอาควันบุหรี่เข้าไปมาก จะพบความเสี่ยงของโรคจุดศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมจะสูงขึ้นทันที เป็นปัจจัยเสริม เพราะฉะนั้นอากาศสำคัญ แต่บางครั้งอาจจะไม่ใช่ควันบุหรี่เพียงอย่างเดียว อาจจะเป็นควันอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ควันธูป ควันจุดเครื่องไหว้ที่ต้องเผากระดาษให้บรรพบุรุษ ควรหลีกเลี่ยง ส่วนปัจจัยอื่นๆรองมา เช่น พบว่าคนผิวขาว (ฝรั่ง) มีปัจจัยเสี่ยงเป็นโรคนี้มากกว่าคนผิวสี

“เมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มมีภาวะโรคจุดศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม จะมีอาการภาพที่เห็น คือ ตำแหน่งของจุดศูนย์กลางจอประสาทตาแต่ละตา จะมีจุดศูนย์กลางดำมืดขึ้น แต่ยังเห็นรอบๆอยู่ เหมือนมีคนมาเซ็นเซอร์ภาพตรงกลางและภาพรอบๆ เริ่มบิดเบี้ยว ยังเห็นรอบๆ เห็นพื้น เห็นฟ้า แต่ไม่เห็นตรงกลาง ส่วนใหญ่จะเริ่มเป็นทีละข้าง แต่ละข้างจะมีความเสี่ยงของโรคจุดศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมในระยะเริ่มต้น 28% ภายใน 5 ปี และมีโอกาสโจมตีอีกข้างหนึ่ง 42% ภายใน 5 ปี เพราะอย่างนั้นตาข้างแรกเป็นตัวเตือนทำให้เราป้องกันข้างที่2 ถ้าใครพบอาการแบบนี้ ให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อไม่ให้วงดำขยายใหญ่ขึ้น” นพ.พรเทพ กล่าว

นพ.พรเทพ กล่าวว่าสำหรับโรคจุดศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

  1. ชนิดแห้ง (Dry AMD) ไม่มีเลือด จะเห็นเป็นสีขาวซีด วินิจฉัยง่าย จะค่อยๆมัว ค่อยๆเสื่อมไป ใช้เวลา 2-4 ปี ซึ่งมีผลการรายงานออกมาว่า ประมาณ 20-30% ของโรคจุดศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง จะมีชนิดเปียกทับไปอีกในข้างเดียวกัน จึงต้องสังเกตเป็นระยะว่า ชนิดแห้งจะกลายเป็นชนิดเปียกหรือไม่ ทำให้อาการทรุดอย่างรวดเร็ว
  2. ชนิดเปียก (Wet AMD) เป็นอาการมีเลือดในตาหากส่องกล้องเข้าไป ตรงกลางจะเห็นภาพดำ หรืออาจจะเต็มจอดับสนิท หรือมีเลือดอยู่ตรงกลางก็ได้ ทำให้การมองเห็นจะลดลงอย่างรวดเร็วใช้เวลาแค่ 1 เดือน จึงเป็นชนิดที่หลายคนและแพทย์กลัว

นพ.พรเทพ กล่าวต่อว่า โรคจุดศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม ส่งผลการมองเห็นลดลงไปอย่างมาก ปัจจุบันจึงมียามุ่งรักษาและมีความก้าวหน้าอย่างมาก โดยจะมุ่งเน้นโรคจุดศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกเป็นหลักเนื่องจากมีความรุนแรงมาก หลัก ๆ มี 3 วิธี

  1. การยิงเลเซอร์ร้อน คือเอานำเลเซอร์ร้อนเข้าไปยิงจุดที่มีเลือดออกในตา และหยุดการไหลของเลือด แพทย์จะทำการฉีดสี และดูว่าเลือดออกตรงไหนมากที่สุด จะทำให้จุดๆนั้น เลือดหยุดทันที วิธีนี้ค่อนข้างได้ผลดี แต่มีข้อเสียคือ ไหม้จอประสาทตาด้วยความร้อนสูง ซึ่งจอประสาทตาเหมือนหัวใจสำคัญ เพราะฉะนั้นจะทำให้มองไม่เห็นที การใช้เลเซอร์ร้อนจึงไม่เป็นที่นิยม
  2. การยิงเลเซอร์เย็น เป็นการใช้แสงเลเซอร์ ไม่มีการเผาไหม้ จะใช้วิธีฉีดยาเข้าไปในเส้นเลือด และเข้าไปในตำแหน่งที่ตาประมาน 15 นาที และใช้แสงเลเซอร์เข้าไปกระตุ้นให้เกิดการเผาไหม้แบบเล็กน้อย ทำให้เลือดหยุดและประสาทตาไม่พัง จึงเป็นที่นิยมมากกว่า มีประสิทธิภาพผลสำเร็จราว 66% จึงทำให้การรักษานี้มีข้อจำกัด ได้ผลบางจุด
  3. การฉีดยาเข้าลูกตา ไปยังตำแหน่งวุ้นตา และยาจะถูกดูดซึมเข้าตอประสาทตาทันที ทำให้เลือดหยุดได้ ผลการรักษาส่วนใหญ่ดีมาก จะชะลอได้ถึง 94.6% กล่าวคือ การฉีดยาจะเข้าไปยับยั้งให้โรคไม่ลุกลาม ข้อเสียคือ ความเสี่ยงการติดเชื้อจากเข็ม มีเลือดออกซ้ำ หรือประสาทตาฉีดขาดจากการจิ้มเข็ม และยาตัวนี้อยู่ได้ 1-2 เดือน อาจจะต้องมาฉีดซ้ำ เป็นข้อจำกัด แต่เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด

“ถ้ามาหาหมอเร็ว สูญเสียการมองเห็นไปเล็กน้อย จะสามารถชะลอได้ 94.6% แต่หากมาหาช้า เลือดออกมาเยอะแล้ว ก็จะชะลอช้า เพราะฉะนั้นการที่คนไข้มาหาเราเร็วจะเป็นประโยชน์มากๆ ในการมองเห็นยังคงดีอยู่ เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องให้ความรู้ ให้คนไข้เช็คตัวเองทุกเช้า ว่าตัวเองเริ่มถูกโจมตีหรือยัง จะได้รีบป้องกันก่อนที่การมองเห็นนั้นจะแย่ลงไป” นพ.พรเทพ กล่าว

นพ.พรเทพ เสริมว่า โรคนี้เป็นโรคที่เรื้อรัง ไม่มีทางหายขาด ต้องพบแพทย์เป็นระยะ โดยแนะนำตรวจโรคเกี่ยวกับตาตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป เช็คทั้งจอประสาทตา ต้อหินและต้อกระจกเช็ค ซึ่งจะใช้เครื่องมือแสกน คนไข้มานั่งหน้าเครื่องแสกน จะรู้ทันทีว่าเป็นโรคจุดศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมหรือยัง โดยใช้กล้องที่มีเลเซอร์จับเข้าไปอย่างละเอียด และจะเห็นภาพของชั้นจอประสาทตา หากเป็นโรคนี้ จะเห็นเป็นก้อนเลือดขึ้นมา จะทำวินิจฉัยได้ง่ายขึ้นและให้คนไข้รับทราบ เพื่อหาวิธีป้องกันได้เร็วมากขึ้น ซึ่งก็ใช้เวลาตรวจเพียงแค่ 5 วินาที

นพ.พรเทพ กล่าวว่า ผู้สูงอายุทุกคน ต้องมีโรคเกี่ยวกับดวงตาแน่นอน อาจะเป็นต้อกระจก หรือโรคอื่นแทรกซ้อน การที่เราปล่อยให้เป็นธรรมชาติเพราะความแก่ ก็จะเจอโรคช้าไป โรคบางโรค เช่น โรคต้อหิน ยิ่งเจอช้า ประสาทตาถูกทำลายไปแล้ว ไม่มีทางฟื้น การเจอต้อหินแต่เนิ่นๆ จะรักษาง่าย แนะนำให้มาตรวจสุขภาพตากันในงานนี้ ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยอย่างน้อยปีละครั้ง อย่างน้อยเราก็ได้มาตรวจสุขภาพตาและดูแลตัวเอง

“ตามีความสำคัญมาก ผมมักจะชอบมีคำถามว่า วันนี้เราไม่ขา แต่มีตามองเห็น กับการที่มีขา แต่ไม่มีตา เลือกอย่างไร ผมบอกให้ทุกคนรู้เลยว่า เลือกมีตา เพราะฉะนั้นตาสำคัญกว่าขาไปแล้ว เพราะฉะนั้นต้องให้ความสำคัญกับมัน เราใช้งานมันหนักมาก วันๆหนึ่งเราเปิดตาตลอดเวลา ดังนั้นมาเช็คกันเถอะ เพราะถ้าเราสูญเสียมันไปเมื่อไหร่ มันอาจจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว” นพ.พรเทพ กล่าว

นพ.พรเทพ กล่าวทิ้งท้ายว่า การเช็คดวงตาไม่ได้ยากกว่าที่คิด เพียงแค่มางานนี้ก็จะได้รับการตรวจฟรี เพราะเราเอาเครื่องมือที่ทันสมัยของโรงพยาบาลจักษุบ้านแพ้ว เรามีความชำนาญสูงมาก ให้คุณหมอได้เช็คและป้องกัน รวมถึงรุ่นลูกหลานเราด้วย ยังไงก็ฝากดวงตาไว้ด้วย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image