ราล์ฟ รังนิค จากตัวโจ๊กแฟนผีกู้ศักดิ์ศรีปรมาจารย์

ราล์ฟ รังนิค จากตัวโจ๊กแฟนผีกู้ศักดิ์ศรีปรมาจารย์

ตอนที่ผลการจับสลากแบ่งกลุ่ม ยูโร 2024 ออกมาเมื่อปลายปีที่แล้ว ปรากฏว่าใน กลุ่มดี มีทีมยักษ์ใหญ่อย่าง ฝรั่งเศส กับ เนเธอร์แลนด์ อยู่ร่วมกลุ่มกับ โปแลนด์ และ ออสเตรีย น้อยคนนักที่จะคิดว่าบทสรุปของรอบแรกจะลงเอยเหมือนอย่างที่เป็น

ด้วยชื่อชั้นศักดิ์ศรี นักวิเคราะห์ สื่อ และแฟนบอล ต่างคาดเดาก่อนแข่งว่า ทีมตราไก่กับอัศวินสีส้มน่าจะแย่งกันเพื่อเป็นแชมป์กลุ่ม ขณะที่โปแลนด์กับออสเตรียลุ้นแย่งอันดับ 3 เพื่อไปวัดกับอีก 5 กลุ่มที่เหลือ เนื่องจากทั้ง 2 ทีมอันดับโลกใกล้เคียงกันมาก (ออสเตรีย อันดับ 25, โปแลนด์ อันดับ 26) โดยฝั่งโปแลนด์มีสตาร์ชื่อคุ้นหูอย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ เป็นตัวชูโรง

Advertisement

ปรากฏว่า เมื่อเอาเข้าจริงๆ ไม่เพียงออสเตรียจะหักด่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ พวกเขายังทำผลงานสวยหรูอย่างการคว้าแชมป์กลุ่มซี มี 6 คะแนน จากสถิติแพ้ฝรั่งเศส 0-1, ชนะโปแลนด์ 3-1 ปิดท้ายด้วยการเฉือนชัยเนเธอร์แลนด์ 3-2

ความสำเร็จของออสเตรียในสเตจแรกของยูโรนั้น คงต้องยกความดีความชอบให้ ราล์ฟ รังนิค กุนซือชาวเยอรมันวัย 65 ปี

ต้องบอกว่างานโค้ชหนสุดท้ายก่อนไปนั่งกุนซือทีมชาติออสเตรีย รังนิคโดนวิจารณ์หนักจากผลงานการคุมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฐานะผู้จัดการทีมชั่วคราวหลัง โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ โดนปลดในฤดูกาล 2021-22

Advertisement

รังนิคคุมแมนยูรวม 29 นัด ทำสถิติชนะ 11 เสมอ 10 แพ้ 8 มีเปอร์เซ็นต์คุมทีมคว้าชัยเพียง 37.93 เปอร์เซ็นต์ ต่ำสุดตั้งแต่เขาทำงานโค้ชมา แถมยังมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่านักเตะบางคน อาทิ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไม่ได้มองเขาเป็นโค้ชด้วยซ้ำ

ช่วงคุมปีศาจแดงใหม่ๆ สื่ออังกฤษชูประเด็นว่ารังนิคเป็น “บิดาแห่งเกเก้นเพรสซิ่ง” สไตล์การเพรสซิ่งสูง ไล่บี้แย่งบอลในแดนคู่ต่อสู้ที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ นำไปปรับใช้กับ ลิเวอร์พูล จนแข็งแกร่งในยุคหนึ่ง แต่พอผลงานไม่เข้าเป้าจนไม่ได้ไปต่อ เขาจึงกลายเป็นประเด็นล้อเลียนของแฟนบอลแทน

ไม่ว่ารังนิคจะพูดอะไร เปิดประเด็นไหนเกี่ยวกับปัญหาภายในของทีม ก็มักโดนมองว่าเป็นการแก้ตัว หรือแค่คนบ้าทฤษฎีที่เอาไปใช้จริงไม่ได้ ทำให้เจ้าตัวเสียเครดิตในฐานะโค้ชไปพอสมควร

หลังโบกมือลาโอลด์แทรฟฟอร์ด รังนิคได้รับการแต่งตั้งเป็นกุนซือทีมชาติออสเตรียในเดือนเมษายนปี 2022

เป้าหมายหนึ่งของเขาคือเรียกศรัทธาจากแฟนบอลออสเตรียกลับมา รวมถึงสร้างทีมที่มีสไตล์การเล่นสนุก น่าติดตาม

ช่วงแรกๆ ผลงานยังลุ่มๆ ดอนๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แต่ก่อนจะมาถึงศึกยูโร ออสเตรียก็ทำผลงานมาดีระหว่างทาง ทั้งชนะอิตาลี และเสมอกับเบลเยียมและฝรั่งเศส

มาร์เซล ซาบิตเซอร์ กองกลางกัปตันทีมชาติออสเตรีย บอกว่า การมาของรังนิคช่วยเปลี่ยนสไตล์การเล่นของทีม จากที่เคยเป็นทีมเน้นตั้งรับ แต่ตอนนี้ทุกคนเปลี่ยนวิธีคิด เมื่อเสียบอลก็ต้องรีบกลับไปแย่งคืนให้เร็วที่สุด อีกทั้งบรรยากาศในทีมยังเต็มไปด้วยความสมัครสมานสามัคคี ทุกคนมีความสุขที่ได้ทำงานร่วมกัน

ด้านนักวิจารณ์บอลของออสเตรียก็บอกว่า ทีมชาติชุดนี้ต่างจากตอนกุนซือคนก่อนอย่าง ฟรังโก้ โฟด้า มาก เพราะตอนโฟด้าคุม แทบต้องตะโกนสั่งตลอดเวลาให้นักเตะทำเกมบุกหรือเพรสซิ่งบ้าง แต่กับรังนิคเกมรับของออสเตรียเปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเองว่าต้องทำอะไรในสนาม ขณะที่นักเตะก็ดูจะเคารพในตัวเขาและมีความสุขมากๆ ที่ได้ทำงานร่วมกัน

จากสถิติของ ออปต้า บริษัทเก็บสถิติกีฬาระดับโลก พบว่า ในยูโรหนนี้ ออสเตรียเป็นทีมที่ปล่อยให้คู่แข่งผ่านบอลน้อยครั้งที่สุดก่อนเข้าไปตัดบอลเป็นอันดับ 2 รองจากเยอรมนี ขณะเดียวกัน ออสเตรียก็เป็นทีมที่ทำฟาวล์มากที่สุด รวม 49 ครั้ง จาก 3 นัด สื่อถึงการมุ่งมั่นพยายามไปแย่งบอลกลับมาให้ได้

ว่ากันว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รังนิคประสบความสำเร็จกับออสเตรีย คือการที่ผู้บริหารให้เวลาเขาได้สร้างทีมในแบบที่ตัวเองต้องการ อีกทั้งเกมเตะทีมชาติไม่ถี่เท่ากับระดับสโมสร จึงมีเวลาให้เขาคิดวิเคราะห์จนความคิดตกผลึก กลายเป็นสูตรและแผนการเล่นที่เหมาะกับทีมในการรับมือคู่แข่งทีมต่างๆ

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จก้าวแรกกับการคว้าแชมป์กลุ่มยูโรหนนี้ยังถือว่าเร็วเกินไปที่จะคาดหมายว่าจะเกิด “เทพนิยาย” เวอร์ชั่นออสเตรียแบบที่เคยเกิดกับเดนมาร์กในปี 1992 และกรีซในปี 2004 หรือไม่

รังนิคเองก็ออกตัวว่า เป็นไปได้ยาก เพียงแต่ลูกทีมมุ่งมั่นที่จะไปให้ไกลที่สุด จึงต้องว่ากันไปทีละสเต็ป

และถ้าเกิดจับพลัดจับผลู ออสเตรียได้ชูถ้วยแชมป์ยูโรขึ้นมาจริงๆ ชื่อของราล์ฟ รังนิค ก็คงไม่ใช่เรื่องโจ๊กสำหรับแฟนผีอีกต่อไป!

 

 

 

 

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image